พระราโชบาย ของ พระเจ้าชาห์_โมฮัมหมัด_เรซา_ปาห์ลาวี

พระราชวงศ์ปาห์ลาวี ในค.ศ. 1967

ในปีค.ศ. 1942 อิหร่านได้สัญญาไตรมิตรกับอังกฤษและรัสเซีย โดย 2 ประเทศรับรองร่วมกันในการเคารพบูรณภาพในดินแดน อธิปไตย และเอกราชทางการเมืองของอิหร่าน[6] ประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังของตนออกจากอิหร่านเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1946 แต่กองทหารโซเวียตยังคงอยู่[6] อิหร่านจึงได้ร้องเรียนต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โซเวียตจึงยอมถอนทหารออกไปในเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน[6]

ในปีค.ศ. 1951 เป็นช่วงเวลาที่ประชาชนอิหร่านกำลังตื่นตัวเรื่องชาตินิยม ในพฤษภาคมปีเดียวกันนั้นเอง ดร.มุฮัมหมัด มูซัดเดก ผู้นำคนหนึ่งในขบวนการชาตินิยมอิหร่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี[6] หลังจากนั้นนายมูซัดเดกได้ดำเนินการยึดบริษัทน้ำมันแองโกล-อิหร่านออยล์ซึ่งเป็นของอังกฤษเป็นของรัฐ[6] ทำให้ต่างชาติมีมาตรการตอบโต้บอยคอตน้ำมันอิหร่าน[7] ในวันที่ 22 ตุลาคมปีเดียวกัน รัฐบาลอิหร่านได้ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มปั่นป่วน และเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และเกิดความวุ่นวายมากขึ้น[7]

เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1953 ชาห์และราชินีได้เสด็จออกนอกประเทศ 3 วันหลังจากนั้นนายพลซาเฮดีประกาศตนเป็นนายกรัฐมนตรี[7] และเข้าควบคุมอำนาจมูซัดเดก และคณะรัฐบาลของเขาถูกจับกุม ชาห์เสด็จกลับอิหร่านและทำการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีนโยบายนิยมตะวันตก[7] อิหร่านได้ทำการเปิดสัมพันธไมตรีกับการทูตกับอังกฤษใหม่อีกครั้ง และมีการเจรจาตกลงกับบริษัทน้ำมันอังกฤษและสหรัฐอเมริกา[7] และนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 เป็นต้นมา พระเจ้าชาห์ได้เริ่มมีบทบาทในการบริหารประเทศมากขึ้น และพาประเทศเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[7]

การปฏิวัติขาว

ในปีค.ศ. 1963 ชาห์ได้เริ่มโครงการสำคัญหลายอย่างเพื่อพัฒนาอิหร่านให้ก้าวหน้า อาทิเช่น การปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการเลือกตั้ง การให้สิทธิแก่สตรี การตั้งหน่วยการศึกษา การจัดตั้งหน่วยอนามัย การพัฒนาการเกษตร การโอนป่าเป็นของรัฐเป็นต้น ซึ่งรัฐบาลอิหร่านเรียกโครงการเหล่านี้ว่า "การปฏิวัติขาว" เพราะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ[7] ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ได้รับแนวคิดมาจากรัฐบาลอเมริกายุคจอห์น เอฟ. เคนเนดี ซึ่งต้องการให้รัฐบาลอิหร่านมีฐานอำนาจที่กว้างขึ้น มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมมากขึ้น และมีคอรัปชั่นน้อยกว่ายุคปี 1950 ที่ผ่านมา[8] นโยบายนี้ใช้วิธีสร้างประชานิยมโดยการปฏิรูปที่ดินเป็นหลัก โดยให้ ดร.ฮัสซัน อาร์ซันจานี (Dr. Hassan Arsanjani) และรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรเป็นผู้เริ่มต้น แต่พอทำไปแล้ว ทั้งสองคนได้รับความนิยมสูงมาก ชาห์จึงทรงปลด ดร. อาร์ซานจานิ ออกจากตำแหน่ง[8] และทรงถือเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์เอง[8] ชาห์ได้ทรงปรับโครงการปฏิรูปที่ดินที่ริเริ่มโดย ดร. อาร์ซานจานิ ใหม่โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างประชานิยมในพระองค์เองรวมทั้งรัฐบาลของพระองค์ การปรับใหม่นี้มีโครงการที่เสนอรวม 6 โปรแกรมด้วยกัน ซึ่งเรียกว่าการปฏิวัติขาว ได้แก่[8]

  1. ให้มีการปฏิรูปที่ดิน
  2. ขายโรงงานที่รัฐบาลเป็นเจ้าของเพื่อนำเงินมาปฏิรูปที่ดิน
  3. ออกกฎหมายเลือกตั้งใหม่ที่ให้สิทธิสตรีในการออกเสียง
  4. จัดให้ป่าไม้เป็นสมบัติของชาติ
  5. ตั้งองค์กรเพื่อการอ่านออกเขียนได้โดยเฉพาะเพื่อการสอนหนังสือในชนบท
  6. ร่างแผนการในการให้คนงานมีส่วนแบ่งในผลกำไรจากอุตสาหกรรม
ชาห์ขณะมอบที่ดินแก่ราษฎรในการปฏิวัติขาว

การทำประชาพิจารณ์เพื่อขอความเห็นชอบในโครงการ 6 ข้อนี้ ได้รับการบอยคอตจากกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (National Front) เพราะต้องการให้การตัดสินใจในแผนการดังกล่าวซึ่งส่งผลกระทบสูงต่อชาติ ให้เป็นการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างเสรี ความขัดแย้งเรื่องนี้รุนแรงเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1963 หลังปราศรัยโจมตีรัฐบาล ท่านโคมัยนีก็ถูกจับไปขังคุกที่กรุงเตหะราน[8] ผลของการจับโคมัยนีทำให้ประชาชนโกรธแค้นมาก และพากันออกมาเดินขบวนเต็มไปหมดในถนนทุกสาย เหตุการณ์ต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยอายะตุลลอฮ์โคมัยนี ลุกลามรุนแรงถึงขั้นนองเลือด จนกลายเป็นจุดหักมุมของประวัติศาสตร์อิหร่านที่สำคัญและเป็นรู้จักกันไปทั่วโลกว่า “เหตุการณ์ลุกฮือ 15 กอร์ดัด 1342" (15 Khordad 1342 uprising) ซึ่งเป็นวันเดือนปีอิสลาม หนังสือพิมพ์ต่างประเทศบางฉบับลงข่าวว่า ทหารของชาห์ สาดกระสุนเข้าสังหารผู้ประท้วงคราวนั้น ทำให้คนเสียชีวิตถึง 15,000 คน[8] แรงกดดันจากประชาชนทำให้โคมัยนีได้รับการปล่อยตัว แต่ท่านก็ยังไม่ยอมเลิกต่อต้านนโยบายของชาห์ จนทำให้ถูกทหารจับตัวอีกครั้ง รัฐบาลตัดสินใจเนรเทศโคมัยนีออกนอกประเทศในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1964[7] โดยให้ไปอยู่ตุรกี และต่อมาย้ายไปอยู่เมืองนาจาฟในอิรัก รวมเป็นเวลาถึง 13 ปี โดยหวังว่าจะทำให้ความนิยมในตัวโคมัยนีจางหายไป[8]

ใกล้เคียง

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระเจ้าชาห์_โมฮัมหมัด_เรซา_ปาห์ลาวี http://www.avairan.com/bijan-nimrooz.htm http://www.bakhtiarifamily.com/soraya.php http://books.google.com/books?id=ZlptU4A2HkUC&prin... http://video.google.com/videoplay?docid=8405176709... http://www.iranchamber.com/history/rkhomeini/ayato... http://www.iranian.com/CyrusKadivar/2002/June/Sora... http://irannegah.com/video_browse.aspx?keyword=sha... http://www.konmun.com/Entertainment/id18751.aspx http://www.mehrnews.com/en/ http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?pa...