ข้อวิพากษ์วิจารณ์ ของ พระไชยบูลย์_ธมฺมชโย

ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก
ตัวอย่างสื่อที่ขอขมา

ช่วง พ.ศ. 2540-2541 สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และทีมงาน เช่น ประเด็นการยักยอกทรัพย์ และการบริหารเงินบริจาค และพยายามเปลี่ยนการเรียกนามของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) เป็น "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" ด้วยข้อกล่าวหาทางพระธรรมวินัยขั้นปาราชิก ในข้อหายักยอกทรัพย์วัดของตนเอง[ต้องการอ้างอิง] ศิษย์บางส่วนออกมาปกป้องพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ว่าถูกขบวนการทำลายล้างวางแผนทำลายชื่อเสียงวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ผ่านสื่อมวลชนและการกดดันทางการเมืองและเจ้าคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์[ต้องการอ้างอิง] อีกทั้งเชื่อว่าบุคคลในห้องกระจกอาจมีส่วนรู้เห็นในการปลอมแปลงพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเพื่อหวังผลในการจับสึกพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เนื่องจากพระลิขิตทั้งห้าฉบับมีข้อผิดปกติอยู่มากเช่น มีการใช้เลขอารบิกในเอกสารที่ปกติใช้แต่เลขไทย ไม่มีใครเคยเห็นพระลิขิตฉบับจริงพบเพียงเอกสารสำเนา และผู้รับรองพระลิขิตก็คือพระราชรัตนมงคล ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกดำเนินคดีปลอมแปลงเอกสารของสมเด็จพระสังฆราช ในขณะที่คณะวัดพระธรรมกายพยายามออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงข้อสงสัยอยู่เป็นระยะ[ต้องการอ้างอิง] อย่างไรก็ตามขบวนการโจมตีวัดพระธรรมกายก็ยังคงพยายามชี้นำสังคมให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยวัดพระธรรมกายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน[ต้องการอ้างอิง] ภายหลังสื่อมวลชนทั้งหลายได้ออกมาขอขมาวัดพระธรรมกาย เพราะว่าได้ลงข่าวที่ไม่เป็นความจริงลงไปอย่างมากมาย ทำให้วัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ได้รับความเสียหาย

ระหว่างคดียังคงอยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) และคณะวัดพระธรรมกายได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว สื่อมวลชนบางสำนักได้นำเสนอข่าวแพร่สะพัดออกไปในทางเสื่อมเสีย จึงได้มีการฟ้องกลับสื่อมวลชน ซึ่งต่อมาศาลอาญาได้พิพากษาว่าการกระทำดังกล่าวของสื่อมวลชนเป็นความผิด[ต้องการอ้างอิง] และให้ประกาศข้อความขอขมาวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) ทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทั้งมติชน กรุงเทพธุรกิจ สยามรัฐ

กระทั่งในปี พ.ศ. 2549 สำนักงานอัยการสูงสุดได้ถอนฟ้องคดีทั้งหมดของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)[ต้องการอ้างอิง] หลังจากนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประกาศรับรองความบริสุทธิ์ของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)[ต้องการอ้างอิง] และมหาเถรสมาคมได้ส่งผู้แทนมายังวัดพระธรรมกายเพื่อถวายคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแก่พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)[ต้องการอ้างอิง] สำหรับประเด็นนี้นักวิชาการบางคน เช่น ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิจารณ์เหตุการณ์บ้านเมืองซึ่งถูกคดีอาญาหมิ่นประมาทผู้อื่น ศาลสั่งจำคุกเมื่อเดือนมิถุนายน 2555[ต้องการอ้างอิง] ในขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนวัดพระธรรมกายได้ออกมาแย้งในรูปแบบต่าง ๆ ว่า คดีของวัดพระธรรมกายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีการใช้อิทธิพลของผู้มีอำนาจระดับสูงกดดันหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกายและพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เช่นกัน[ต้องการอ้างอิง] ด้วยเหตุผลที่วัดพระธรรมกายเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมถึงมีศิษยานุศิษย์ในทุกระดับชั้นของสังคมและทั่วโลก จึงเกรงว่าหมู่คณะวัดพระธรรมกายอาจมีอำนาจการต่อรองทางการเมืองการปกครองของประเทศไทย[ต้องการอ้างอิง]

กรณีวิจารณ์เมื่อขยายงานพระศาสนา

พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) มีแนวคิดรวมคณะสงฆ์ทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยความหมายแล้วเพื่อให้งานพระพุทธศาสนาขยายกว้างและเข็มแข็ง เพื่อประชุมเปรียบเทียบคำสอนในศาสนาพุทธที่ปรากฏอยู่ในแต่ละนิกาย [43] จึงเป็นที่มาของการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ต้องการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเอง[ต้องการอ้างอิง] ซึ่งทางกลุ่มผู้สนับสนุนได้โต้แย้งว่าการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับพุทธบริษัททั้งสี่นั้นเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน ซึ่งการที่พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ตั้งใจสร้างความสามัคคีของชาวพุทธทั่วโลกให้เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ควรแก่การส่งเสริมและสนับสนุนมากกว่าการมุ่งร้ายทำลายกันเองระหว่างหมู่พุทธศาสนิกชน[ต้องการอ้างอิง]

นอกจากนั้นในหมู่ของชาววัดพระธรรมกายได้รับคำสั่งสอนและให้คุณค่าของการกระทำความดีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันว่า คือการสร้างบารมีตามเยี่ยงอย่างพระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อน และ เป็นสิ่งที่ชาวพุทธที่ดีควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง[ต้องการอ้างอิง]

วัดพระธรรมกายภายใต้การนำของพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) มีความตั้งใจสร้างความสามัคคีของคณะสงฆ์และพุทธบริษัทสี่ทั่วโลก พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ได้ดำริโครงการต่าง ๆและสร้างงานบุญพิธีอันยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การระดมทุนเพื่อการสร้างศาสนวัตถุขนาดใหญ่, การฝึกอบรมในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการอบรมธรรมทายาท ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของการอุปสมบทพระภิกษุ อบรมธรรมทายาทหญิง อบรมอุบาสิกาแก้วหน่ออ่อน โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก โครงการเด็กดีวีสตาร์ โครงการตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า เป็นต้น โดยให้เหตุผลเพื่อการเผยแผ่และค้ำจุนพระพุทธศาสนา ในขณะที่ชาวพุทธชาวไทยส่วนหนึ่ง มองการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่สุดโต่ง ไม่สันโดษ ไม่สมถะ แอบแฝงเป็นพุทธพาณิชย์

ข้อกล่าวหากรณีอาบัติปาราชิก

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 คณะกรรมาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ นำโดย ไพบูลย์ นิติตะวัน ประชุมเพื่อพิจารณาสถานภาพของพระธัมมชโย และเชิญผู้แทนมหาเถรสมาคมมาชี้แจง กรณีไชยบูลย์ สุทธิผล (พระธัมมชโย) ได้อาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุมาตั้งแต่ พ.ศ. 2542 ตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกใน 2 กรณี คือ กรณีการไม่ยอมคืนที่ดินให้วัดพระธรรมกาย และการกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกมีความบกพร่องจึงเป็นเหตุให้บิดเบือนคำสอน ซึ่งถือเป็นขั้นอนันตริยกรรม[44][45][46] ทั้งที่พระลิขิตมีข้อโต้แย้งมากมายว่าเป็นพระลิขิตปลอมดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้น และในการกล่าวหาผู้ที่ถูกสงสัยว่าต้องปาราชิกนั้นจะต้องมีการตั้งอธิกรณ์ในหมู่สงฆ์ตามหลักสัมมุขาวินัยเท่านั้น จะพิพากษาโดยผู้ใดผู้หนึ่งลอย ๆ ไม่ได้ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชย่อมเข้าใจในประเด็นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

แต่คณะกรรมาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติมีความเห็นว่า พระธัมมชโยอาบัติปาราชิกตามพระลิขิต อีกทั้งมหาเถรสมาคมได้มีมติครั้งที่ 191/2542 และครั้งที่ 193/2542 ซึ่งเป็นมติรับทราบและให้ดำเนินการตามพระดำริสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตั้งแต่ปี 2542 แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีการดำเนินการเพียงรับโอนที่ดินให้ตกเป็นของวัดเท่านั้น ส่วนกรณีอาบัติปาราชิกและต้องขาดจากความเป็นพระนั้น กลับละเว้นไม่ดำเนินการมาเป็นเวลา 16 ปีเพื่อให้พระธัมมชโยพ้นจากการเป็นภิกษุสงฆ์ คณะกรรมการฯ จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม[44][45][46]

คณะกรรมาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนายังให้ความเห็นว่า เรื่องนี้จะต้องให้รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ บังคับการให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม และพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช โดยพระลิขิตสำคัญที่ทรงมีพระวินิจฉัยให้พระธัมมชโยพ้นจากความเป็นสงฆ์ ด้วยอาบัติปาราชิก ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 นั้น มีใจความสำคัญดังนี้

ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่องเป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไป กลายเป็นสอง มีความเข้าใจ ความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนัตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคต ที่หนัก

ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ทันที (5 เมษายน พ.ศ. 2542)

ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นขอบตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา

(สมเด็จพระญาณสังวร)สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.26 เมษายน พ.ศ. 2542[44][45][46]

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 สมชาย สุรชาตรี โฆษกประจำสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงว่าตามเอกสารของมหาเถรสมาคมเมื่อปี 2542 ไม่มีคำสั่งหรือเอกสารที่ระบุว่าพระธัมมชโยเป็นปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุตามพระลิขิตดังกล่าว[47] ด้านพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยังเปิดประเด็นอีกด้วยว่าไม่แน่ใจว่าพระลิขิตนั้นเป็นของปลอมหรือไม่ และย้ำว่าพระธัมมชโยยังไม่ปาราชิก[48] ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคมเผยว่า มหาเถรสมาคมเห็นว่าพระธัมมชโยไม่มีเจตนาขัดพระลิขิต และไม่มีเจตนาฉ้อโกง จึงถือว่าพ้นมลทิน และในปี 2549 ได้มีมติถวายคืนสมณศักดิ์ให้กับพระธัมมชโย อีกทั้งในปี 2554 ยังได้เลื่อนสมณศักดิ์จากยศพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นพระเทพญาณมหามุนี[49] และพระธัมมชโยก็ได้ดำรงสมณเพศต่อมา และได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพญาณมหามุนี" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554

ในวันต่อมา ไพบูลย์ นิติตะวัน กล่าวว่ามติของมหาเถรสมาคมในเรื่องดังกล่าวขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่รับรองโดยมติของมหาเถรสมาคมเอง และจะตรวจสอบมหาเถรสมาคม สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียนและนักวิชาการอิสระ และไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กแสดงความไม่เห็นด้วยต่อมติดังกล่าว[50] นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน สุวิทย์ ทองประเสริฐ (อดีตพระพุทธะอิสระ) นำมวลชน 200 คนเดินทางไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยอ้างว่าจะมาทำบุญและนำตะกร้าขนาดใหญ่บรรจุกางเกงขาสั้น กางเกงใน ปลากระป๋อง ที่นอน รองเท้า สากกระเบือ ดอกไม้จันทน์ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเงิน 1000 บาทเพื่อเป็นการแสดงการคัดค้านต่อมติมหาเถรสมาคม[51]

แต่ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 สมชาย สุรชาตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่ามติมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับพระธัมมชโยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์นั้นไม่มีจริง ในวันนั้นแค่รายงานเรื่องให้มหาเถรสมาคมทราบเรื่องเท่านั้น[52] ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 มหาเถรสมาคมได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ภายหลังจากการประชุมพระพรหมเมธีได้แถลงว่า เรื่องของพระธัมมชโยที่ถือว่ายุติลงแล้วตั้งแต่ปี 2542 ที่ประชุม มส.ไม่สามารถนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้เพราะจะทำให้ มส. เป็นอาบัติปาราชิกทั้งคณะตามข้อกำหนดของพระธรรมวินัย[53]

ข้อกล่าวหากรณีบุกรุกป่าสงวนภูเรือ

ศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับพระธัมมชโย กรณีบุกรุกป่าสงวนภูเรือ[54]

กรณีพัวพันคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าชุดตรวจสอบเส้นทางการเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ได้สรุปผลการสอบสวนเส้นทางเงินกรณีนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด สั่งจ่ายเช็ครวม 878 ฉบับ เป็นเงิน 11,367 ล้านบาท ให้กับกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลรวม 7 กลุ่ม ซึ่งเข้าข่ายเป็นการยักยอกทรัพย์หรือสนับสนุนให้ลักทรัพย์ เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริง

ในกลุ่มวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุณี (พระธัมมชโย) และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง นั้นคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้หารือร่วมกับหัวหน้าพนักงานอัยการร่วมสอบสวนแล้ว พิจารณาเห็นว่า

ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2552 – 15 กุมภาพันธ์ 2554 กลุ่มวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุณี (พระธัมมชโย) และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้รับเช็คจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวม 21 ครั้ง เป็นเงิน 1,205,160,000 บาท โดยที่ไม่มีมูลหนี้กับทางสหกรณ์ฯ พฤติการณ์ดังกล่าวของพระเทพญาณมหามุณีกับพวก อาจมีส่วนเป็นผู้สนับสนุนนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ในการยักยอกทรัพย์ของสหกรณ์ หรือสนับสนุนให้ลักทรัพย์นายจ้างหรือรับของโจร ความผิดฐานฟอกเงินและความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต[55]

[56]

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะได้นำผลการสอบสวนปากคำพยาน พร้อมเอกสารทางการเงินเกี่ยวกับผู้รับเช็คทั้ง 878 ฉบับ ส่งมอบให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย [55][56]

17 พฤษภาคม 2559 ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับพระเทพญาณมหามุณี ฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร หลังจากที่ไม่ได้มารายงานตัวตามหมายเรียกของกรมสอบสวนคดีพิเศษ[57] ซึ่งทำให้มีเหตุการณ์ปิดล้อมวัดพระธรรมกายโดยคสช.ประกาศใช้ ม.44 บุกและนำกำลังของเข้าหน้าที่ DSI และทหารกว่า 5000 นาย โดยเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2560 - 10 มี.ค. 2560 มีศิษย์วัดพระธรรมกายและผู้ไม่เห็นด้วยมาขัดขวางเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ปิดล้อมวัดนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน

ใกล้เคียง

พระไชยบูลย์ ธมฺมชโย พระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 พระไชยเชษฐาที่ 3 พระไชยสงคราม (เจ้าคำลือ) พระไชยสุริยา พระไชยเชษฐาที่ 2 พระไชยเชษฐาที่ 1 พระไชยราชา พระไชยเชษฐา พระไตรปิฎกภาษาจีน

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระไชยบูลย์_ธมฺมชโย http://talk--secret.blogspot.com/2017/03/35-44.htm... http://talk--secret.blogspot.com/2018/02/5.html http://www.facebook.com http://www.posttoday.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%... http://www.posttoday.com/crime/396681 http://www.dhammakaya.net/en/centers/center-contin... http://www.dhammakaya.net/whoweare/Sun_of_peace_Ve... http://www.dhammakaya.net/whoweare/Sun_of_peace_Ve... http://www.ibscenter.net/ibs/index.php?option=com_... http://www.komchadluek.net