ชีวิตงาน ของ ฟลอเรนซ์_ไนติงเกล

ช่วงฝึกหัด

เธอเริ่มต้นจากงานดูแลคนยากจนและคนอนาถา เมื่อธันวาคม พ.ศ. 2387 (ค.ศ. 1844) การตายของคนอนาถาในศูนย์อนามัยสำหรับผู้ยากไร้ในลอนดอน กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชน เธอจึงสนับสนุนและริเริ่มปรับปรุงการดูแลรักษาทางการแพทย์ในสถานพยาบาล และได้ขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากชาร์ลส วิลไลเออส์ (Charles Villiers) ในทันที แล้วประธานคณะกรรมการหลักปฏิบัติต่อผู้ยากไร้ ปล่อยให้เธอทำบทบาทกิจกรรมในการปฏิรูปหลักปฏิบัติต่อผู้ยากไร้ และขยายข้อกำหนดไปเกินกว่าการดูแลรักษาทางการแพทย์

ภายหลังเธอได้เลื่อนตำแหน่งตามลำดับจนเป็นที่ปรึกษา และได้ส่ง แอกเนส อลิซาเบท โจนส์ และคณะพยาบาลฝึกหัดของไนติงเกล ไปยังศูนย์อนามัยสำหรับผู้ยากไร้ ในลิเวอร์พูล

เมื่อ พ.ศ. 2389 (1846) เธอเดินทางไปที่ศูนย์พยาบาลและฝึกอาชีพไคเซอร์เวิท (ge:Kaiserswerth) ประเทศเยอรมนี (ขณะนั้นเป็นประเทศปรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่การแพทย์เจริญก้าวหน้าที่สุดในเวลานั้น) เพื่อศึกษาดูงานการบุกเบิกพัฒนาสถานพยาบาลที่ก่อตั้งโดย ศิษยาภิบาล ธีโอดอร์ ไฟลด์เนอร์ (Theodor Fliedner) [3] และดำเนินงานโดย คณะศิษยาภิบาลนิกายลูเทอรัน เธอประทับใจคุณภาพการดูแลรักษาและการฝึกหัดของคณะศิษยาภิบาลอย่างมาก

อาชีพของเธอในฐานะพยาบาล เริ่มเมื่อ พ.ศ. 2394 (1851) เมื่อเธอรับการฝึกหัดในหน้าที่ศิษยาภิบาลของไคเซอร์เวิทอยู่ 4 เดือนในเยอรมนี เธอเข้ารับการฝึกหัด โดยขัดการคัดค้านของครอบครัวที่เป็นห่วงการเสี่ยงอันตรายและมุมมองจากสังคมต่อกิจกรรมนั้นและมูลนิธิของสถานพยาบาลในสังคมโรมันคาทอลิก ขณะอยู่ที่ไคเซอร์เวิท เธออ้างว่าได้รับประสบการณ์สำคัญและเข้มข้นอย่างมากในการอธิษฐาน

เมื่อ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2396 (1853) ไนติงเกล รับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันพยาบาลสำหรับสุภาพสตรีที่เจ็บป่วย ในถนนฮาร์ลีย์เหนือ ที่ลอนดอน กระทั่ง พ.ศ. 2397 (1854) พ่อของเธอให้ค่าใช้จ่ายปีละ 500 £ (ประมาณ 50, 000 $ ในปัจจุบัน) ซึ่งทำให้เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายพร้อมกับปฏิบัติหน้าที่ในอาชีพของเธอ เจมส์ โจเซฟ ซิลเวสเตอร์ (J. J. Sylvester) เป็นที่ปรึกษาของเธอ

ช่วงสงครามไครเมีย

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เป็นที่รู้จักจากผลงานการอุทิศตนระหว่าง สงครามไครเมีย ซึ่งเธอสนใจเมื่อได้ข่าว ซึ่งรายงานปฏิบัติการที่น่าหดหู่และขยะแขยงในการรักษาพยาบาลบาดแผล เริ่มรั่วไหลกลับสหราชอาณาจักร

เมื่อ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2397 (1854) ไนติงเกลพร้อมกับคณะนางพยาบาลอาสาสมัครหญิง 38 คนที่ได้รับการฝึกจากเธอ รวมถึงป้าของเธอ ไม สมิท (Mai Smith) ได้ไปยังแนวรบ ไครเมีย ประเทศตุรกี ที่ซึ่งฐานทัพหลักของ สหราชอาณาจักร ตั้งฐานอยู่ ห่างออกไป 545 กิโลเมตร ข้ามทะเลดำ จากบาลัคลาวา โดยการอนุญาตของ ซิดนีย์ เฮอร์เบิร์ท

ต้นพฤศจิกายน พ.ศ. 2397 (1854) เธอมาถึง ค่ายทหารเซลิมิเยอ (Selimiye Barracks) ในสคูตารี (Scutari) (ปัจจุบันคือ อิสตันบูล) เธอและคณะพยาบาลพบกับเหล่าทหารที่บาดเจ็บ ซึ่งได้รับการรักษาให้ดีจากคณะแพทย์ที่มีงานล้นมือ และเผชิญหน้ากับการขาดความสนใจจากทางการ ขาดแคลนยา ทำให้ได้รับยาไม่ต่อเนื่อง ขาดการดูแลความสะอาดสุขอนามัย การติดเชื้อ มากมายกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้ทหารจำนวนมากตาย ซ้ำยังขาดอุปกรณ์อาหารสำหรับคนไข้

เธอและผู้ร่วมอุดมการณ์เริ่มทำความสะอาดหน่วยพยาบาลและอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน และจัดระบบการรักษาดูแลคนไข้เสียใหม่ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เธออยู่ที่สคูตารี อัตราความตายก็ยังไม่หยุด แต่เพิ่งเริ่ม จำนวนผู้ตายอาจสูงที่สุดในบรรดาหน่วยพยาบาลอื่นในเขต ระหว่างฤดูหนาวแรกของเธอ มีทหาร 4077 คนตายที่สคูตารี ผู้ที่ตายจาก ไข้รากสาดใหญ่, ไข้รากสาดน้อย, อหิวาตกโรค และโรคบิด มีเป็น 10 เท่าของที่ตายจากบาดแผลในการรบ ไม่ใช่เกิดจากการจัดระเบียบใหม่ แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมในหน่วยพยาบาลค่ายทหารชั่วคราว เป็นอันตรายเกินไปสำหรับคนไข้ เพราะจำนวนผู้บาดเจ็บแออัดเกินไป อีกทั้ง ข้อบกพร่องของท่อระบายน้ำ และขาดการระบายอากาศ รัฐบาลสหราชอาณาจักรเพิ่งส่งคณะกรรมการด้านสุขอนามัยมาถึงสคูตารีเมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2398 (1855) ซึ่งก็เกือบ 6 เดือนหลังจากเธอมาถึง มีการปรับปรุงท่อระบายน้ำและระบบระบายอากาศ แล้วอัตราความตายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เธอยังดำเนินการด้านสุขอนามัยต่อไป โดยเชื่อว่า อัตราความตายสัมพันธ์กับโภชนาการที่ขาดแคลน และการหักโหมงานของทหาร อีกด้วย

แต่ยังไม่ใช่ในขณะนั้น กระทั่งหลังจากเธอกลับสหราชอาณาจักร และเริ่มรวบรวมหลักฐาน ซึ่งก่อนหน้าคณะกรรมการด้านสุขภาพของกองทัพเสียอีก โดยเธอเชื่อว่า ทหารส่วนมากที่หน่วยพยาบาลถูกฆ่าโดยสภาพการอยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม ประสบการณ์นี้ให้อิทธิพลทางความคิดในอาชีพของเธอในเวลาต่อมา เมื่อเธอส่งเสริมแนวคิดสภาพที่อาศัยที่ถูกสุขอนามัยเป็นเรื่องสำคัญ ผลก็คือ เธอลดอัตราการตายในช่วงสงบสำเร็จ และเปลี่ยนทัศนะการออกแบบด้านสุขอนามัยในสถานพยาบาลทั้งหลาย

กลับบ้าน

เมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. (1857) ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล กลับสหราชอาณาจักรในฐานะวีรสตรี และได้เข้าเฝ้า พระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งสหราชอาณาจักร [4] อย่างไรก็ตาม เธอถูกรุมเร้าด้วยพิษไข้มาโดยตลอด เป็นไปได้มากว่าเกี่ยวกับอาการเรื้อรังของ บรุคเซลโลซิส (Brucellosis) หรือ "ไข้ไครเมีย" (chronic fatigue syndrome) ซึ่งเธอติดมาตั้งแต่ช่วงสงครามไครเมีย และอาจเป็นไปได้ว่าเกิดร่วมกับ กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง เธอจำต้องกันแม่และพี่สาวจากห้องของเธอ และนานๆ จึงจะออกจากห้องสักครั้ง เธอย้ายจากบ้านของครอบครัวในมิดเดิล เตลย์ดอน บัคกิงแฮมเชียร์ ไปอยู่ที่โรงแรมเบอร์ลิงตัน ในพิคคาดิลลี [5]

ช่วงท้าย

เธอพัฒนาแผนภาพ "โพลาแอเรีย ไดอะแกรม" ที่แสดงข้อมูลการเสียชีวิตที่มาจากสภาพหรือการปฏิบัติที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งเป็นการบุกเบิกด้าน สถิติศาสตร์ ทางการสาธารณสุข

ใกล้เคียง

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ฟลอเรนซ์ (วิดีโอเกม) ฟลอเรนซ์ ฟลอเรนซ์ พิว ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์ ฟลอเรียน มุนเตอานู ฟลอเรนซ์ อาร์ลิสส์ ฟลอเรนซ์ กริฟฟิท จอยเนอร์ ฟลอเรนซ์ คาซัมบา ฟลอเรนซ์แอนด์เดอะแมชชีน

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฟลอเรนซ์_ไนติงเกล http://www.sociology.uoguelph.ca/fnightingale/ http://www.biographyshelf.com/florence_nightingale... http://www.bmj.com/cgi/content/full/311/7021/1697 http://www.countryjoe.com/nightingale/wellow.htm http://www.nytimes.com/learning/general/onthisday/... http://www.oxforddnb.com/view/article/35241 http://www.pubmedcentral.gov/articlerender.fcgi?ar... http://www.nightingaledeclaration.net http://www.1911encyclopedia.org/Florence_Nightinga... http://www.amstat.org/about/statisticians/index.cf...