ประวัติ ของ ฟอร์ตลอเดอร์เดล

แม่น้ำนิวในย่านกลางเมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล

ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์ของฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา
พื้นที่ซึ่งเมือง ฟอร์ตลอเดอร์เดล ได้ก่อตั้งขึ้นในเวลาต่อมา เดิมเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของอินเดียแดงชนเผ่าเตเควสตา[9] เคยอยู่อาศัยมามากกว่าพันปี ตามหลักฐานของนักสำรวจชาวสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้บันทึกถึงความหายนะของชนเผ่าเตเควสตา โดยชาวยุโรปได้นำโรคระบาดมาสู่ชาวพื้นเมืองโดยไม่ตั้งใจ เช่น ฝีดาษ ซึ่งชาวพื้นเมืองนี้ไม่มีภูมิต้านทานโรคนี้ นอกจากโรคระบาดแล้ว ชนเผ่าเตเควสตายังต้องเผชิญกับความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านเผ่าคาลูซา ซึ่งทำให้ประชากรลดลงเป็นอย่างมากในสองร้อยปีถัดมา[10] ในปี ค.ศ. 1763 มีชนเผ่าเตเควสตาเหลือน้อยมาในฟลอริดา และส่วนใหญ่จะอพยพไปอาศัยอยู่ที่ประเทศคิวบา เมื่อประเทศสเปนยกฟลอริดาให้ประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1763 ภายใต้สนธิสัญญาปารีส (1763) ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของ สงครามเจ็ดปี [9] ถึงแม้ว่าพื้นที่จะถูกควบคุมผลัดเปลี่ยน โดยประเทศสเปน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และแคว้นภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาซึ่งทำศึกกลางเมืองกับฝ่ายเหนือ พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่ได้รับการพัฒนาจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20

ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 พื้นที่เมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล ถูกรู้จักในฐานะของพื้นที่ตั้งถิ่นฐานแม่น้ำนิว ในปี ค.ศ. 1830 มีผู้อพยพประมาณ 70 คนอาศัยตามริมแม่น้ำนิว วิลเลียม คูลเลย์ ผู้พิพากษาท้องถิ่น ซึ่งเป็นชาวนาและผู้หาของจากเรืออับปางและทำการค้ากับอินเดียแดงชนเผ่าเซมิโนเอล ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1836 ขณะที่วิลเลียม คูลเลย์ ได้นำผู้คนเพื่อกู้เรืออับปาง กลุ่มชนเผ่าเซมิโนเอลได้จู่โจมไร่นา ฆ่าภรรยาและลูก ๆ และพี่เลี้ยงของลูก เจ้าของไร่อื่น ๆ ที่ตั้งรกรากอยู่ด้วยนั้น ไม่ได้ถูกจู่โจม แต่ชนผิวขาวทั้งหมดก็ได้ละทิ้งถิ่นฐาน และอพยพไปยังประภาคารแหลมฟลอริดาที่คีย์บิสเคน และคีย์เวสต์[11]

ป้อมแรกของสหรัฐอเมริกาชื่อ ฟอร์ตลอเดอร์เดล ถูกสร้างขั้นใน ค.ศ. 1838[12] และต่อมาเป็นสถานที่การสู้รบในสงครามเซมิโนเอลครั้งที่สอง ป้อมได้ถูกละทิ้งในปี ค.ศ. 1842 หลังจากสิ้นสุดสงคราม พื้นที่ก็ไม่มีคนอยู่อาศัยจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1890 จนกระทั่งแฟรงค์ สตรานาฮาน เข้ามาในพื้นที่ในปี ค.ศ. 1893 เพื่อดำเนินธุรกิจเรือเฟอร์รีข้ามแม่น้ำนิว และทางรถไฟชายฝั่งตะวันออกของฟลอริดาได้สร้างผ่านพื้นที่เสร็จในปี ค.ศ. 1896 การพัฒนาต่าง ๆ จึงเริ่มเกิดขึ้น เมืองได้ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1911 และในปี ค.ศ. 1915 ได้ถูกกำหนดให้เป็นที่ตั้งของที่ทำการของเทศมณฑลโบรวาร์ดที่พึ่งก่อตั้งขึ้น[13]

การพัฒนาครั้งใหญ่ ครั้งแรกของ ฟอร์ตลอเดอร์เดล เริ่มในปี ค.ศ. 1920[14] ระหว่างช่วงที่มีการตื่นที่ดินในฟลอริดา การเกิดเฮอริเคนชื่อไมอามี[15] ในปี ค.ศ. 1926 และ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1930 เป็นสาเหตุในการเกิดการเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น ฟอร์ตลอเดอร์เดลกลายเป็นฐานใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสถานีฝึกนักบิน การปฏิบัติการเรดาร์ และการปฏิบัติการควบคุมไฟ ฐานยามรักษาการณ์ชายฝั่งที่อ่าวเอเวอร์เกลดส์ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเช่นกัน[16]

ย่านกลางเมืองฟอร์ตลอเดอร์เดล

หลังจากสิ้นสุดสงคราม ผู้คนได้กลับมายังพื้นที่นี้ ซึ่งกระตุ้นการเพิ่มขึ้นของประชากรเป็นอย่างมาก หลังจากการลดลงจากช่วงที่มีความเจริญในปี ค.ศ. 1920[17] การสำรวจสำมะโนประชากรในปี ค.ศ. 1960 มีประชากรอาศัยอยู่ 83,648 คน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 230% ของประชากรในปี ค.ศ. 1950[17] การรายงานในปี ค.ศ. 1967 ระบุว่าพี้นที่เมืองได้มีการพัฒนาแล้ว 85%,[18] และในปี ค.ศ. 1970 ประชากรมีจำนวน 139,590 คน[19]

หลังจากปี ค.ศ. 1970 ฟอร์ตลอเดอร์เดลได้ถูกสร้างความเจริญ และเติบโต จนไปถึงพื้นที่รอบนอกเมือง จนถึงฝั่งตะวันตก เมืองต่าง ๆ เช่น คอรอลสปริงส์, มิรามาร์, และเปมโบร์คไพน์ ได้มีการเติบโตเป็นอย่างมาก ประชากรของฟอร์ตลอเดอร์เดลหยุดนิ่ง และซึ่งจริง ๆ แล้วมีจำนวนลดลงเกือบ 4,000 คน ระหว่างปี ค.ศ. 1980 ที่มีประชากร 153,279 คน[20] และปี ค.ศ. 1990 ที่มีประชากร 149,377 คน ในปี ค.ศ. 2000 มีประชากรเพิ่มกลับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 152,397 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ฟอร์ตลอเดอร์เดลมีประชาการเพิ่มขึ้นอีกกว่า 18,000 คน โดยการรวมเอาพื้นที่โดยรอบ 7 พื้นที่ซึ่งไม่ได้อยู่ในเทศมณฑลโบร์วาร์ด[21] ปัจจุบันฟอร์ตลอเดอร์เดลถือเป็นศูนย์กลางใหญ่ของเรือยอร์ช และเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด[22]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ฟอร์ตลอเดอร์เดล http://people.eng.unimelb.edu.au/mpeel/Koppen/Nort... http://www.abetterftlauderdale.com/?p=884 http://www.bizjournals.com/southflorida/stories/20... http://www.businesswire.com/news/home/201110260064... http://www.enn.com/today.html?id=13101&ref=rss http://www.epodunk.com/ancestry/Cuban.html http://www.epodunk.com/ancestry/Haitian.html http://www.fallingrain.com/world/US/12/Fort_Lauder... http://www.fodors.com/miniguides/mgresults.cfm?des... http://www.ftlauderdalecc.com/pdfs/newsletter21.pd...