ภาพลวงตาเอ็บบิงก์เฮาส์ (
อังกฤษ: Ebbinghaus illusion) หรือ
วงกลมทิตเชะเนอร์ (
อังกฤษ: Titchener circles) เป็น
ภาพลวงตาลวงการรับรู้เกี่ยวกับขนาดวัตถุ มีชื่อตามนัก
จิตวิทยาชาวเยอรมันผู้ค้นพบ คือ เฮอร์แมนน์ เอ็บบิงก์เฮาส์ (ค.ศ. 1850–1909) แต่เพราะว่านักจิตวิทยา
ชาวอังกฤษชื่อว่า เอ็ดวารด์ ทิตเชะเนอร์ เป็นบุคคลที่กล่าวถึงภาพลวงตานี้ในตำราจิตวิทยาทดลอง (experimental psychology) และทำภาพนี้ให้เป็นที่รู้จักในหมู่ชนที่พูด
ภาษาอังกฤษ ดังนั้น ภาพลวงตานี้จึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "วงกลมทิตเชะเนอร์"
[1] แบบของภาพที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือ ภาพมีวงกลมขนาดเท่ากันสองวงอยู่ติด ๆ กัน วงกลมหนึ่งล้อมรอบด้วยวงกลมใหญ่ ๆ ในขณะที่อีกวงกลมหนึ่งล้อมรอบด้วยวงกลมเล็ก ๆโดยเอาชุดวงกลมมาวางต่อกัน วงกลมตรงกลางที่ล้อมรอบด้วยวงกลมใหญ่ ๆ ดูเล็กกว่าวงกลมที่ล้อมรอบด้วยวงกลมเล็ก ๆงานวิจัยเร็ว ๆ นี้เสนอว่า องค์ประกอบสำคัญสองอย่างที่ทำให้เกิดการลวงก็คือ ระยะทางของวงกลมที่ล้อมรอบจากวงกลมตรงกลาง และความสมบูรณ์ของวงที่ล้อมรอบ ภาพลวงตานี้จึงคล้ายกับภาพลวงตาอีกอย่างหนึ่งคือ
Delboeuf illusionคือ ถ้าวงกลมที่ล้อมรอบอยู่ใกล้วงกลมตรงกลาง วงกลมตรงกลางดูใหญ่กว่า และถ้าวงกลมล้อมรอบอยู่ไกล วงกลมตรงกลางก็จะดูเล็กกว่า โดยไม่สำคัญว่า วงกลมตรงกลางและวงกลมล้อมรอบจะมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันถึงแม้ว่า ตัวแปรคือระยะทางจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเห็นภาพลวง แต่ว่าตัวแปรคือขนาดของวงกลมที่ล้อมรอบก็ยังเป็นตัวจำกัดว่า วงกลมที่ล้อมรอบนั้นสามารถจะอยู่ชิดกับวงกลมตรงกลางได้ขนาดไหน จึงทำให้งานวิจัยหลายงาน สับสนตัวแปรสองอย่างนี้
[1]ภาพลวงตาเอ็บบิงก์เฮาส์มีบทบาทสำคัญในข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความมีอยู่ของ
ทางสัญญาณสองทาง (วิถีประสาทสองทาง) เพื่อการรับรู้ (perception) และเพื่อการกระทำ (action) ใน
ระบบสายตา[2] คือ มีการเสนอว่า ภาพลวงตาเอ็บบิงก์เฮาส์ทำการรับรู้เกี่ยวกับขนาดให้บิดเบือน แต่ไม่มีผลกับการกระทำงานวิจัยของนัก
ประสาทวิทยาศาสตร์ เม็ลวิน กูดเดล์ แสดงว่า เมื่อให้สัตว์ทดลองตอบสนองต่อวัตถุกลม ๆ ที่มีอยู่จริง ๆ โดยจัดระเบียบเลียนแบบภาพลวง ด้วยการจับวัตถุกลมที่ตรงกลาง การปรับขนาดของมือเพื่อจับวัตถุนั้นเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่ได้รับอิทธิพลจากการรับรู้ที่บิดเบือนนั้น คือสัตว์ทดลองเห็นขนาดผิด แต่กลับคว้าจับวัตถุได้เป็นปกติ
[3] แม้จะมีงานวิจัยอื่น ๆ ที่ยืนยันว่า ภาพลวงตาที่หลอกขนาดเช่นภาพลวงตาเอ็บบิงก์เฮาส์ ไม่มีผลต่อการปรับขนาดของมือเพื่อจับวัตถุ แต่ก็มีงานอื่น ๆ อีกที่แสดงว่า ภาพลวงตามีผลต่อทั้งการรับรู้ และทั้งการกระทำ
[4]งานวิจัยที่ใช้อุปกรณ์สร้างภาพในประสาท (neuroimaging) เสนอว่า มี
สหสัมพันธ์เชิงผกผัน (inverse correlation) ระหว่างความไวของบุคคลต่อภาพลวงตาประเภทเดียวกับภาพลวงตาเอ็บบิงก์เฮาส์ (เช่น
Ponzo illusion) กับขนาดของ
คอร์เทกซ์สายตาปฐมภูมิที่ต่าง ๆ กันไปในแต่ละบุคคล คือคอร์เทกซ์ของบุคคลยิ่งใหญ่ ภาพก็มีประสิทธิภาพในการลวงตาน้อยลง (และนัยตรงกันข้ามก็จริงด้วย)
[5] ส่วนงานวิจัยด้านช่วงพัฒนาการเสนอว่า การลวงตานั้นอาศัยความไวต่อสิ่งแวดล้อม (คือวัตถุที่อยู่แวดล้อม)คือ เมื่อทำการทดสอบกับเด็กวัย 10 ขวบและน้อยกว่านั้น เทียบกับนักศึกษามหาวิทยาลัย การลวงตาโดยเทียบขนาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งในผู้ใหญ่ผู้มีความไวต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าในเด็กน้อยผู้ไม่มีความไวต่อวัตถุที่แวดล้อม
[6]