ประวัติความเป็นมา ของ มัรเญียะอ์ตักลีด

การตัดลีดในนิกายชีอะฮ์เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยบรรดาอิมามมะอ์ซูม พวกท่านอนุญาตให้ผู้ปฏิบ้ติตามพวกท่านย้อนกลับไปหานักรายงานฮะดีษหรือสาวกผู้ใกล้ชิดของท่าน บางครั้งท่านสนับสนุนให้สาวกของท่านประจำการที่มัสญิดและศูนย์กลางต่างๆเพื่อออกคำวินิจฉัยและชี้นำประชาชน การสนับสนุนส่งเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในยุคสมัยอิมามมะอ์ซูม ก็เนื่องจากว่าระยะทางที่ห่างไกลกันของแต่ละเมือง การเดินทางไม่สะดวกเนื่องจากไม่มียานพาหนะ จึงเป็นการยากลำบากที่ประชาชนจะเดินทางมาเข้าพบบรรดาอิมาม อีกทั้งเรื่องการอำพรางตน (ตะกียะฮ์) สรุปคือเป็นการยากที่จะเข้าพบอิมามได้โดยตรง ในยุคการเร้นกายระยะสั้นประชาชนเริ่มรู้สึกถึงความจำเป็นในการตักลีดในเรื่องหลักปฏิบัติศาสนกิจมากยิ่งขึ้น ตามหลักฐานสาส์น (เตาเกี้ยะอ์) ฉบับสุดท้ายของอิมามท่านที่สิบสองของชีอะฮ์ ได้แนะนำแหล่งย้อนกลับเรืื่องหลักปฏิบ้ติศาสนกิจใหม่ๆ คือบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม (ฟุกอฮา) ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและจำเป็นที่ผู้คนต้องปฏิบัติตามพวกเขา[4]

การตักลีดในตำรา อุซูลุลฟิกฮ์ ถูกให้นิยามเชิงวิชาการตั้งแต่ศตวรรษที่สี่ เดิมทีความหมายนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต่อมาเรียกกันว่า "มัรเญียะอ์" เลย บุคคลแรกในหมู่ชีอะฮ์ที่เป็นมัรเญียะอ์ คือ เชคฏูซี ซึ่งอยู่ในศตวรรษที่ห้า บรรดาผู้รู้ท่านอื่นถือว่าตนเป็นผู้ปฏิบัติตามเขา และการบอกคำกล่าวของเขาต่อมาภายหลังเรียกกันว่า "ตักลีด" การตักลีดนี้ เรียกว่าเป็นการตักลีดตามผู้รู้ แต่หลักการตักลีดทั่วไปกับนักการวินิจฉัยหลักปฏิบัติศาสนกิจนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงศตวรรษที่สิบ

เดิมทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับบรรดานักนิติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ ที่เรียกกันว่า "มัรเญียะอ์" นั้นเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่กระจัดกระจาย ในลักษณะที่ว่าในแต่ละพื้นที่ก็จะมีฟะกีฮ์หนึ่งท่านหรือหลายท่าน ต่อมาในยุคซอฟะวี บรรดาผู้รู้ได้อพยพเข้าจากJabal Amel เลบานอน สู่ราชอาณาจักรซอฟะวี จึงเริ่มเกิดศูนย์กลางนักการศาสนาขึ้น ซึ่งมีชื่อเสียงมากว่าในพื้นที่ของตนเอง ศูนย์กลางที่มีชื่อเสียงที่สุดเกิดขึ้นในยุคของอายาตุลลอฮ์บุรูญัรดี ในสถาบันศาสนาแห่งเมืองกุม ท่านกลายเป็นมัรเญียะอ์ที่โดดเด่นโดยไม่มีผู้ใดเทียบเทียมในบรรดาชีอะฮ์ ภายหลังจากการเสียชีวิตของท่านก็เป็นยุคที่เกิดมัรเญียะอ์ขึ้นอย่างมากมาย

ใกล้เคียง