สโมสรอาชีพ ของ มารีโอ_บาโลเตลลี

อินเตอร์มิลาน

บาโลเตลลีย้ายไป อินเตอร์ มิลาน ในปี 2006 โดยยืมตัวแบบเป็นเจ้าของร่วมกันในราคาเบื้องต้น 150,000 ยูโร      
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2007 เขาเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเป็นแมตช์ฉลองครบรอบ 150 ปีของเชฟฟิลด์ โดยเกมนั้นเขายิงไป 2 ลูก จากชัยชนะ 5-2     บาโลเตลลี่ได้ลงเล่นนัดแรกในเซเรีย อา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2007 แทนที่ ดาวิด ซัวโซ่ ในเกมที่ชนะ กายารี่ 2-0[13]     ในเดือน พฤศจิกายน 2008 บาโลเตลลี่ กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ของอินเตอร์ มิลาน ที่ยิงประตูได้ ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก โดยซัดไป 1 เม็ด ในนัดเสมอ อนอร์โธซิส ฟามากัสต้า 3-3 ต่อมาเขาต้องถูกแฟนบอลยูเวนตุส ร้องเพลงตะโดนเหยียดสีผิว จนทำให้ยูเวนตุส ถูกแบนเกมในบ้านห้ามแฟนบอลเข้าสนามไป 1 เกม ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา พาอินเตอร์ คว้าแชมป์ลีก 4 สมัยซ้อน     ในซีซั่นที่ 2 เขาเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตัดเขาออกจากทีมชุดใหญ่ ด้วยสาเหตุที่บาโลเตลลี่ซ้อมไม่มากพอเท่าผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักของเขากับมูรินโญ่ เกิดขึ้นอีก ในเกมเสมอ โรม่า 1-1 โดยผู้จัดการชาวโปรตุเกสบอกว่า "คะแนนความสามารถของบาโลเตลลี่เกือบจะเป็นศูนย์"[14]      
จากนั้นวันที่ 5 ธันวาคม 2009 ในเกมที่แพ้ยูเวนตุส เมื่อเขาถูกเฟลิเป้ เมโล่ ตีศอกเข้าที่หัวไหล่ จนเกิดการทะเลาะกัน และ เมโล่ ถูกไล่ออกจากสนาม      ความขัดแย้งของเขากับมูรินโญ่ยิ่งทวีหนักขึ้น ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในเกมชนะ เชลซี 1-0 โดยบาโลเตลลี่หลุดจากทีมชุดใหญ่หลังทะเลาะกับผู้จัดการทีม[15]     
ในเดือนมีนาคม 2010 เขาถูกแฟนๆ ของทีมวิจารณ์อย่างหนัก หลังเอาเสื้อของ เอซี มิลาน ไปใส่ออกรายการทางทีวี จนเขาต้องออกแถลงการณ์ขอโทษผ่านเว็บไซต์สโมสร ความเจ้าปัญหาของเขามาถึงจุดแตกหัก เมื่อเขาแสดงอาการไม่พอใจ โดยปาเสื้อทีมลงพื้น หลังถูกแฟน โห่ไล่ตลอดเวลาในสนาม จนทำให้ตกเป็นข่าวว่า บรรดาทีมในพรีเมียร์ ลีก อย่างแมน ยูไนเต็ด และ แมน ซิตี้ สนใจจะดึงตัวไปร่วมทีม[16]

แมนเชสเตอร์ซิตี

 วันที่ 12 สิงหาคม 2010 บาโลเตลลี่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัว 21.8 ล้านปอนด์ โดยเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งกับเจ้านายเก่า โรแบร์โต้ มันชินี่ โดยเลือกสวมเบอร์ 45 ที่ขอมาจาก เกร็ก คันนิ่งแฮม[17]วันที่ 19 สิงหาคม 2010 บาโลตลลี่ ลงประเดิมให้ทีม ในเกมบุกไปเยือนชนะ โปเลคติก้า ทิมิโซร่า 1-0 ในยูโรป้า ลีก จากนั้นวันที่ 24 ตุลาคม 2010 ก็เปิดซิงให้ทีมในเกมลีกทีแพ้อาร์เซนอลไป 3-0  ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม เข้าทำให้ทีมได้ 1 ประตู ในเกมเฉือนชนะ วูลฟ์แฮมป์ตัน ไป 2-1  วันที่ 21 ธันวาคม 2010 เขาได้รับรางวัล โกลเด้น บอย ซึ่งได้รับถัดจาก ลิโอเนล เมสซี่ ในปีก่อน โดยไม่วายแขวะว่า เขาไม่รู้จัก แจ็ค วิลเชียร์ ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แต่อย่างใด วันที่ 28 ธันวาคม 2010 เขาทำแฮตทริกครั้งแรกให้ทีม ในเกมถล่ม แอสตันวิลลา 4-0 วันที่ 14 พฤษภาคม 2011 เขากลายเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 1-0 เป็นโทรฟี่แรกของสโมสรในรอบ 35 ปี
2011-12      เขาประเดิมลูกแรกของฤดูกาล 2011-12 ในนัดที่ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ไป 2-0 ในถ้วยลีกคัพ      วันที่ 23 ตุลาคม 2011 เขากดสองลูก ในเกมถล่ม แมน ยูไนเต็ด คาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด 6-1 จากนั้นได้ประเดิมเกมถ้วยยุโรปครั้งแรก ที่พบกับบียาร์รีล โดยซัดจุดโทษไป 1 ลูกต่อมาเขาถูกเอฟเอ แบนห้ามลงสนามไป 4 เกม หลังจากตั้งใจเตะใส่ สก็อต พาร์กเกอร์  ในเกมพบ สเปอร์ส      อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์อย่างหนัก ในจังหวะแย่งกันยิงฟรีคิกกับ อเล็กซานเดร์ โคลารอฟ จนมีปากเสียงกัน     วันที่ 8 เมษายน 2012 บาโลเตลลี่ ถูกแบนไปอีก 3 เกม หลังจากรับใบเหลืองไปอีก จากจังหวะไปปะทะกับ บาการี่ ซานญ่า ในเกมแพ้ อาร์เซนอล 1-0 จนมันชินี่ ต้องออกมาประกาศว่า จะให้โอกาสบาโลเตลลี่ เป็นครั้งสุดท้าย และพร้อมจะขายทิ้งหากมีปัญหาอีก ที่สุดแล้ว เขาจบซีซั่นนี้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก นับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อปี 1968[18] 
2012-13     ในเดือน ธันวาคม 2012 เขามีปัญหาอีกครั้งจนถูกลงโทษปรับเงินค่าแรง 2 สัปดาห์ ในเรื่องความประพฤติ จนพลาดการเล่นไปอีก 11 เกม เพราะโทษแบน[19]  

เอ.ซี. มิลาน

 วันที่ 29 มกราคม 2013 เอซีมิลานประกาสคว้าตัวเขามาร่วมทีม ด้วยสัญญา 5 ปี มูลค่า 20 ล้านปอนด์  โดย มันชินี่ บอกว่า นี่คือเรื่องที่ถูกต้องที่เขาย้ายไป และสักวันเขาจะกลายเป็นนักเตะที่ดีสุดในโลก โดย บาโลเตลลี่ ยังเลือกสวมเบอร์ 45 ตามเดิม[20] 
2012-13     วันที 3 มีนาคม 2013 บาโลเตลลี่ ประเดิมเหมาสองประตูให้ มิลาน ในเกมชนะ อูดิเนเซ่ 2-1 ต่อมาเขากดเบิ้ลได้อีก ในเกมเจอ ปาร์ม่า ซีซั่นนี้เขาโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมาก จบซีซั่นซัดไป 12 ลูก จาก 13 เกม  และพาทีมคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย 
2013-14      วันที่ 22 กันยายน 2013 เขาพลาดการทำจุดโทษเป็นครั้งแรก จากทั้งหมด 22 หน โดยถูกเซฟจาก เปเป เรน่า ในเกมแพ้ นาโปลี 2-1      โดยเกมที่ฮือฮาของเขาคือ เกมที่เสมอ ลิวอร์โน่ 2-2 เขายิงฟรีคิกจากระยะ 30 หลา ด้วยความแรง 109 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 
2014-15     วันที่ 21 สิงหาคม 2014 มิลานได้ตกลงขายเขาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ โดยมีรายงานว่า เขาเตรียมออกจากมิลาน พร้อมร่ำลาทีมไว้เรียบร้อยแล้ว[21] 

ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2014-15

บาโลเตลลีขณะที่ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014

เอ.ซี. มิลาน

ฤดูกาล 2015-16

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จที่ลิเวอร์พูล หลังสิ้นสุดฤดูกาล ในช่วงต้นฤดูกาลใหม่ บาโลเตลลีได้ย้ายกลับไปยังเอ.ซี. มิลาน อีกครั้ง ด้วยการยืมตัว ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ให้คำยืนยันว่าจะปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่[6]

ใกล้เคียง

มารีโอ บาโลเตลลี มารีโอ ก็อมเม็ส มารีโอ เกิทเซอ มารีโอ ฟีเกย์รา เฟียร์นันเดส มารีโอ ยูโรฟสกี มาริโอปาร์ตี 9 มารีโก (แซ็ง-มาร์แต็ง) มารีโอ ตามัญโญ มารีโอ มินนีตี มารีโอ อัลมีรันเต

แหล่งที่มา

WikiPedia: มารีโอ_บาโลเตลลี http://resources.fifa.com/mm/document/tournament/c... http://hugmansfootballers.com/player/22174 http://www.liverpoolfc.com/team/first-team/player/... http://uk.soccerway.com/players/mario-balotelli/22... http://www.sport-idol.com/471/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E... http://sport.thaiza.com/ http://sport.thaiza.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%9... http://www.gazzetta.it/Calcio/SerieA/Inter/13-08-2... http://archivio.inter.it/cgi-bin/giocatori-scheda?... http://www.legaseriea.it/uploads/default/attachmen...