พระราชประวัติ ของ มาร์กาเรียตา_เฟรียดกุลลา

มาร์กาเรียตาทรงเป็นเจ้าหญิง เป็นหนึ่งในบุตรสี่พระองค์ของพระเจ้าอิงเงอ ผู้อาวุโสแห่งสวีเดนกับพระราชินีเฮเลียนา ปีที่ประสูติไม่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์[2]

สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์

พรมผนังสค็อกร่วมสมัยแสดงภาพสามกษัตริย์ได้รับการพิจารณาจากนักประวัติศาสตร์ ลาเงอร์ควิสท์ และอูเบรกท์ เชื่อว่าอาจหมายถึงการประชุมเหล่ากษัตริย์สแกนดิเนเวีย ที่ทำให้เจ้าหญิงมาร์กาเรียตา ท่านหญิงแห่งสันติภาพได้หมั้นหมายกับกษัตริย์นอร์เวย์

ใน ค.ศ. 1101 เจ้าหญิงมาร์กาเรียตาได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ามักนุสที่ 3 แห่งนอร์เวย์ การอภิเษกสมรสครั้งนี้เป็นการทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างสวีเดนและนอร์เวย์ พระนางมักถูกเรียกว่า มาร์กาเรียตา เฟรียดกุลลา (มาร์กาเร็ต ท่านหญิงแห่งสันติภาพ) พระนางทรงนำที่ดินมหาศาลของพระนางในสวีเดนเป็นสินสอด (ให้แก่ฝ่ายชาย) ซึ่งอาจจะเป็นแคว้นเอิสเตร์เยิตลันด์ ใน ค.ศ. 1103 พระราชินีมาร์กาเรียตาทรงตกพุ่มหม้ายหลังจากอภิเษกได้สองปี พระพันปีหลวงจึงทรงเสด็จออกจากนอร์เวย์ การอภิเษกสมรสครั้งนี้ไม่มีพระโอรสธิดา การที่พระนางเสด็จออกจากนอร์เวย์ ทำให้ทรงถูกชาวนอร์เวย์มองว่าพระนางทรงดูถูกเหยียดหยาม เนื่องจากพวกเขาต้องการให้พระนางประทับอยู่ต่อไป และพระนางทรงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญโอลาฟ

สมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก

ใน ค.ศ. 1105 สมเด็จพระพันปีหลวงมาร์กาเรียตาได้อภิเษกสมรสใหม่กับพระเจ้านีลส์แห่งเดนมาร์ก ซึ่งได้เป็นพระมหากษัตริย์ใน ค.ศ. 1104 แต่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เฉยเมยขาดความสามารถในการปกครองและทรงทิ้งกิจการบริหารประเทศให้แก่สมเด็จพระราชินีมาร์กาเรียตา ดังนั้น พระราชินีมาร์กาเรียตาจึงปกครองเดนมาร์ก[3] พระนางทรงได้รับการบรรยายว่าเป็นนักปกครองที่ชาญฉลาด และความสัมพันธ์ระหว่างเดนมาร์กกับบ้านเกิดของพระนางอย่างสวีเดนนั้นเป็นไปอย่างสันติในช่วงที่พระนางทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งเดนมาร์ก มีการกล่าวว่า "Styrelsen beroede for størstedelen paa den ædle dronning Margrete, saa at fremmede sagde, at Danmarks styrelse laa i kvindehaand " ("การปกครองโดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับพระราชินีมาร์กาเรียตาผู้สูงศักดิ์ ที่ซึ่งชาวต่างชาติได้ตังข้อสังเกตว่า การปกครองเดนมาร์กอยู่ในกำมือของสตรี")[4] พระนางทรงจัดทำเหรียญของพระนางเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระราชินีพระมเหสีไม่เคยทำมาก่อน เหรียญเดนมาร์กที่จัดทำในช่วงสมัยนี้มีการจารึกว่า "Margareta-Nicalas" ("มาร์กาเรียตา-นีลส์")[5][6]

กษัตริย์อิงเงอแห่งสวีเดน พระราชบิดาของพระนางสวรรคตใน ค.ศ. 1110 ราชบัลลังก์ได้ถูกสืบผ่านหลานลุงของพระองค์ พระเชษฐภคินีของพระราชินีมาร์กาเรียตาคือ เจ้าหญิงคริสตินา อิงเงอสด็อทเทอร์แห่งสวีเดน ประทับอยู่ในรัสเซีย และนับว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะรับส่วนแบ่งพระราชมรดกในสวีเดนได้ พระราชินีมาร์กาเรียตาและเจ้าหญิงคาทารีนา อิงเงอสด็อทเทอร์แห่งสวีเดน พระขนิษฐา จึงเป็นทายาทที่เหลืออยู่[7] เป็นที่รู้ว่า พระราชินีมาร์กาเรียตาทรงแบ่งมรดกของพระนางให้พระราชินีอิงกริดแห่งนอร์เวย์ พระนัดดาของพระนาง (ธิดาในพระเชษฐา) และพระนัดดาที่ประทับในเดนมาร์กอีกองค์คือ เจ้าหญิงอิงเงอบอร์กแห่งเคียฟ พระธิดาในเจ้าหญิงคริสตินา พระเชษฐภคินี โดยแบ่งให้คนละหนึ่งในสี่[8]

ใน ค.ศ. 1114 พระราชินีมาร์กาเรียตาทรงได้รับจดหมายจากเธโอบาลด์แห่งอีแตมป์ เพื่อขอบคุณพระนางที่ทรงมีพระกรุณาต่อโบสถ์เมืองก็อง[9]

สิ้นพระชนม์

หลังจากพระนางสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1130 กษัตริย์นีลส์อภิเษกสมรสใหม่กับสมเด็จพระพันปีหลวงแห่งสวีเดน อูล์ฟฮิลด์ โฮกุนสด็อทเทอร์ ที่ดินของพระราชินีมาร์กาเรียตาในสวีเดนกลายเป็นฐานที่มั่นของพระราชโอรสของพระนาง เจ้าชายมักนุสแห่งเดนมาร์กทรงอ้างสิทธิในราชบัลลังก์สวีเดนผ่านพระนาง เมื่อพระญาติของพระราชินีมาร์กาเรียตาคือ พระเจ้าอิงเงอที่ 2 แห่งสวีเดนสวรรคต เจ้าชายมักนุสจึงอ้างสิทธิในบัลลังก์ในฐานะพระนัดดาองค์ใหญ่ในกษัตริย์อิงเงอ ผู้อาวุโส และได้ครองราชย์เป็น พระเจ้ามักนุสที่ 1 แห่งสวีเดน