อาชีพทางดนตรี ของ มิคา

เริ่มต้นอาชีพนักดนตรี : 2004 - 2006

ซิงเกิ้ลแรกของมิคาคือเพลง Relax, Take it easy (2006) วางจำหน่ายในรูปแบบแผ่นเสียงขนาด 7 นิ้วและดิจิตอลดาวน์โหลดจำนวนจำกัด ซิงเกิ้ลนี้ออกอากาศครั้งแรกบนสถานีวิทยุ BBC 1 ในสหราชอาณาจักร ต่อมาได้มีจำหน่ายอีพีในชื่อ Dodgy Holiday ในรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลดและเพลง Billy Brown สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีบนร้านค้าออนไลน์ไอทูนส์ ส่วนเพลงเก่าอย่าง Overrated ที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2004 ก็ได้ถูกวางขายในร้านค้าไอทูนส์อย่างไม่เป็นทางการ

Life in Cartoon Motion : 2006 - 2008

มกราคม 2007 มิคาได้ถูกโหวตให้อยู่ในอันดับที่ 1 ของ โพล Sound of 2007 [17] บนเว็บไซต์ BBC News 8 มกราคม 2007 Grace Kelly เป็นซิงเกิ้ลแรกที่วางจำหน่ายภายใต้สังกัดยูนิเวอร์แซลมิวสิค ทั้งรูปแบบดิจิตอลดาวน์โหลด และแผ่นเสียงขนาด 12 นิ้วและ 7 นิ้วในรุ่นจำนวนจำกัด Grace Kelly ขึ้นครองชาร์ตอันดับหนึ่งในชาร์ตซิงเกิ้ลแห่งสหราชอาณาจักรในวัน 21 มกราคม หลังวางจำหน่ายได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ [18] 5 กุมภาพันธ์ 2007 ได้มีการวางจำหน่ายสตูดิโออัลบั้มแรกของมิคา Life in Cartoon Motion และอัลบั้มถูกนำไปเปรียบเทียบงานของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่, ซิสเซอร์ ซิสเตอร์ [19], เอลตัน จอห์น [20], ปริ้นซ์ [21], ร็อบบี้ วิลเลียม [22] และเดวิด โบวี [23] และในเพลง Grace Kelly ได้อ้างอิงถึงเมอร์คิวรี่ในท่อนร้อง "I try to be Grace Kelly/But all her looks were too sad/So I try a little Freddie/I've gone identity mad" มิคาได้รับเชิญให้ไปแสดงดนตรีในรายการเช่น The Tonight Show with Jay Leno ถึงสองครั้งในวันที่ 26 มีนาคม 2007 และ 14 กุมภาพันธ์ 2008[24] แสดงในรายการ Jimmy Kimmel Live ในวันที่ 27 มีนาคม 2007 [25] และแสดงสดในรายการ So you think You can dance ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2007 มิคาออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2007 ด้วยการสนับสนุนจาก ชาร่า บาร์ริแยส์ และนาตาเลีย เลสซ์ 10 ตุลาคม 2007 เขาประกาศทัวร์คอนเสิร์ตทั่วยุโรป ในชื่อ Dodgy Holiday ต่อมาในวันที่ 17 พฤศจิกายนได้เพิ่มรอบการแสดงในสหราชอาณาจักรซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพาลลาเดียม และเพิ่มรอบการแสดงในอเมริกาเหนือในเดือนมกราคม 2008 โดยมีมิดเวย์สเตทและครีเจอร์เป็นผู้สนับสนุนในครั้งนี้ มิคาเสร็จสิ้นการทัวร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 เพื่อเข้าร่วมงานแกรมมี่อวอร์ดครั้งที่ 50 ในลอสแอนเจลิส Life in Cartoon Motion ซึ่งเป็นสตูดิโออัลบั้มเปิดตัวของมิคา ได้แนวคิดมาจากช่วงวัยและการเติบโตตั้งวัยเด็กจนถึงปัจจุบันของเขาเอง แต่ก็ไม่ได้เป็นเพลงที่เล่าถึงชีวิตส่วนตัวของเขาทุกเพลง เพลงของมิคามักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน อย่างในเพลง Big Girl (You are beautiful) ที่เล่าเรื่องผู้หญิงตัวโตที่ถูกเลือกปฏิบัติในสังคม และเขาได้แนวคิดมาจากแม่ของตัวเองที่รูปร่างใหญ่และเห็นความอคติของผู้คนที่มีต่อแม่ และอีกเพลงคือ Billy Brown ที่เป็นเรื่องราวซับซ้อนกว่าเดิม ในประเด็นที่ชายที่แต่งงานแล้วแต่ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน [26] 20 กุมภาพันธ์ 2008 มิคาเปิดงานบริทอวอร์ด 2008 ด้วยการแสดงสดในเพลง Love Today, Grace Kelly และเพลงดูเอ็ท Standing in the Way of Control คู่กับเบ็ธ ดิตโต้ และได้รับรางวัลที่งานนี้ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ชาวอังกฤษ

The Boy Who Knew Too Much : 2009 - 2010

ก่อนหน้าการวางจำหน่ายสตูดิโออัลบั้มที่สอง มิคาวางจำหน่ายอีพีชุดที่สอง Songs of Sorrow [27] รุ่นจำนวนจำกัดในวันที่ 8 มิถุนายน 2009 อีพีประกอบด้วยเพลง 4 แทร็กกับหนังสือที่รวบรวมเนื้อเพลง, ภาพวาดประกอบเพลงจากศิลปินที่มิคาชื่นชอบหนา 68 หน้า เพลง Blue Eyes ถูกใช้ในการประชาสัมพันธ์อีพีนี้และได้ติดอันดับเพลยลิสต์ของสถานีวิทยุ BBC 2 [28] สตูดิโออัลบั้มชุดที่สองของมิคา The Boy Who Knew Too Much วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2009 อัลบั้มนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่บันทึกเสียงที่ลอสแอนเจิลลีสโดยมี เกร็ก เวลส์ เป็นโปรดิวเซอร์และนักดนตรีให้ [29] และยังเคยทำสตูดิโออัลบั้มเปิดตัวให้มิคา เนื้อหาในอัลบั้มพูดถึงชีวิตวัยรุ่นของมิคาที่เป็นภาคต่อจากอัลบั้มแรก Live in Cartoon Motion [30] ในปี 2009 มิคาได้รับรางวัลบาฟต้าในสาขาศิลปินชายยอดเยี่ยม ในตอนแรกอัลบั้มนี้มีชื่อว่า We are Golden แต่หลังจากที่ซิงเกิ้ลแรก We are Golden [31] ออกอากาศบนสถานีวิทยุ BBC 1และมิคาได้ให้สัมภาษณ์กับดีเจโจ ไวลีย์ว่า ที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อใหม่นี้เพราะอยากให้น่าขบขันกว่าเดิม ดังนั้นในวันที่ 6 สิงหาคม 2009 อัลบั้มจึงถูกเปลี่ยนไปใช้ชื่อใหม่ The Boy Who Knew Too Much [32] [33] We are Golden ออกอากาศครั้งแรกบนสถานีวิทยุในสหราชอาณาจักรเมื่อ 20 กรกฎาคม 2009 บนสถานีวิทยุ BBC 2 [34] ดิจิตอลดาวน์โหลดถูกจำหน่ายในวันที่ 6 กันยายน และวันต่อมาได้มีการวางจำหน่ายซีดีอัลบั้ม ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่อันดับสี่บนชาร์ตซิงเกิ้ลแห่งสหราชอาณาจักรในวันที่ 13 กันยายน 2009 ต่อมามิคาได้ขึ้นแสดงสดในเทศกาลดนตรีไอทูนส์ 2009 และได้ขึ้นแสดงที่เดอะราวนด์เฮ้าส์ในเคมเดน, ลอนดอนและรายการ Friday Night with Jonathan Ross ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน มีการรายงานว่าเขาจ่ายเงินเป็นจำนวนมากถึง 25,000 ปอนด์ เพื่อซื้อเครื่องดื่มเลี้ยงแฟนเพลงในงานฉลองการวางจำหน่ายซิงเกิ้ลใหม่ของเขาที่ผับแถวบ้านหลังจากประกาศเชิญแฟนเพลงเข้าร่ามงานนี้บนหน้าทวิตเตอร์ในวันที่ 7 กันยายน [35] [36] Blame it on the Girl ถูกปล่อยเป็นซิงเกิ้ลลำดับสองที่สหรัฐอเมริกา ในขณะที่สหราชอาณาจักรซิงเกิ้ลลำดับสองเป็นเพลง Rain และ Blame it on the Girl ได้เป็นซิงเกิ้ลลำดับสามในสหราชอาณาจักรในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2010 [37] 30 พฤศจิกายน 2009 มิคาแสดงเพลง Let it Snow ร้องคู่กับฮิคารุ ยูทาดะศิลปินเพลงป็อบชาวญี่ปุ่น [38] 21 มีนาคม 2010 มิคาแสดงเพลง Gave it All Away ร่วมกับวงบอยโซนผ่านสถานีโทรทัศน์ ITV 1 ในงานไว้อาลัยในกับสตีเฟ่น เกทลี่ หนึ่งในสมาชิกบอยโซนที่เพิ่งชีวิตไปจากอาการหัวใจวาย พฤษภาคม 2010 มิคาปล่อยซิงเกิลประกอบภาพยนตร์ล่าสุด Kick Ass ที่มีชื่อเหมือนกับภาพยนตร์ Kick Ass ของมาร์เวลคอมิกส์ [39] [40]

อัลบั้ม TBA : 2011

มิคาเริ่มเตรียมงานในอัลบั้มใหม่แต่ว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อ และจะบันทึกเสียงในเดือนมีนาคม 2011 เขาเปิดเผยว่าเนื้อหาของอัลบั้มนี้จะไม่ซับซ้อนเหมือนกับอัลบั้มในชุดก่อนๆ และคาดว่าจะวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2011

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: มิคา http://www.news.com.au/heraldsun/story/0,21985,213... http://allmusic.com/cg/amg.dll?p=amg&sql=p755037 http://www.baywindows.com/index.php?ch=arts&sc=mus... http://celebritytwitter.com/twitter/Mika/1656245 http://www.contactmusic.com/info/mika http://www.contactmusic.com/news.nsf/story/pop-kni... http://www.mikasounds.com/ http://www.mikasounds.com/blog/post/750/Next_Singl... http://www.mikasounds.com/news/view/433/SONGS_FOR_... http://www.mikasounds.com/news/view/588/Mika_Goes_...