สมัยร้อยวัน ของ มีแชล_แน

จากนั้นฝรั่งเศสก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส ตามนโยบายของสัมพันธมิตร ซึ่งบรรดาจอมพลของนโปเลียนนั้นยังรับใช้พระเจ้าหลุยส์โดยถือว่าพวกเขาเหล่าเป็นวีรชนของชาติ ซึ่งจอมพลแนได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อพระเจ้าหลุยส์ให้ดีที่สุด ตลอดที่แนได้เข้าทำงานภายใต้การปกครองของราชวงศ์บูร์บงนั้นเขาโดนพวกขุนนางเก่าและดัชเชลแห่งแองกุลาม (พระราชธิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16) ดูถูกภูมิหลังที่ต่ำต้อยและรังเกียจเขา เมื่อแนทนไม่ได้กับคำดูถูกเหล่านั้นเขาจึงขอลาออกจากราชการไปอยู่ที่คฤหาสน์ส่วนตัวแถบชนบทของตนเองอย่างเงียบๆ ข่าวนี้ส่งผ่านจดหมายถึงนโปเลียนที่ประทับอยู่เอลบา ทำให้นโปเลียนตระหนักว่าแนยังคงจงรักภักดีต่อตนและได้รู้ถึงความเดือดร้อนของชาวฝรั่งเศสในช่วงที่ฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บง ดังนั้น นโปเลียนจึงตัดสินใจยกกองทัพหนีออกจากเกาะเอลบาไปยังฝรั่งเศสเพื่อทวงบัลลังก์คืน

เมื่อพระเจ้าหลุยส์ทรงทราบข่าวนี้แล้ว พระองค์จึงเรียกตัวแนให้จับกุมตัวนโปเลียนที่หนีออกมาจากเกาะเอลบา แนกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์หลุยส์ที่ 18 ว่า "จะจับนโปเลียนขังไว้ในกรงเหล็ก" เมื่อได้พบกับกองทัพของนโปเลียนที่หนีมาเกาะเอลบา ณ เมืองโอแซร์แล้วนั้น ทหารในกองทัพของแนนั้นกลับไม่ยิงนโปเลียนแม้แต่นายเดียว รวมทั้งแนรู้สึกโอดโอนเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิของตน เพราะนโปเลียนเป็นคนเลี้ยงแนมาตั้งแต่เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยกระทั่งเป็นจอมพล[2] เขาจึงร่ำไห้กอดนโปเลียนและพานโปเลียนกลับไปครองบัลลังก์ฝรั่งเศสตามเดิม

วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1815 นโปเลียนสั่งให้แนไปเป็นแม่ทัพทางด้านปีกซ้ายและไปจัดการกับกองทัพอังกฤษซึ่งนำทัพโดยอาร์เธอร์ เวลสลีย์ ดยุกที่ 1 แห่งเวลลิงตัน ที่กาเตร บราส (Quatre Bras) แนไม่เข้าใจคำสังของนโปเลียน จึงทำให้ไล่ต้อนกองทัพอังกฤษไม่หมด หลังจากศึกครั้งที่วอเตอร์ลูแล้ว แนได้หลบหนีออกจากเขตการรบแล้วเอาเขม่าควันทาที่ใบหน้าแล้วพูดกับนายทหารผู้หนึ่งว่า "หากว่ามันจับเราได้ครั้งนี้ มันจะแขวนคอเราแน่"[3]