เมนูนำทาง
ยาเบื่อหนู แบบใช้สารเคมียาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) มีความหมายคือสารที่ได้รับหลายครั้ง (ฆ่าสัตว์หลังจากหนึ่งถึงสองอาทิตย์ที่กินสารในปริมาณอันตราย มักไม่เร็วกว่านี้) การได้รับสารเพียงครั้งเดียว (ยารุ่นที่สอง) หรือหลายครั้ง (ยารุ่นที่หนึ่ง) ซึ่งทำหน้าที่ในกีดกันวงจรของวิตามินเคและก่อให้เกิดข้อบงพร่องในการผลิตสารที่มีผลของการให้เลือดแข็งตัว โดยส่วนใหญ่คือโพรทรอมบิน (prothrombin) โปรคอนเวอร์ติน (proconvertin)
นอกจากการก่อความบกพร่องในระบบอาหารแล้ว สารยาต้านการแข็งตัวของเลือด 4-ไฮดรอกซีคูมาริน (4-hydroxycoumarin) 4-ไธโอโครมเมนอน (4-thiochromenone) และอินดานไดโอน (indandione) ยังสามารถสร้างความเสียหายให้แก่หลอดเลือดฝอยเมื่อสัตว์กินสารเป็นจำนวนมาก โดยสารนี้ทำให้การผ่านของสารอื่น ๆ ในเส้นเลือดง่ายขึ้น จนกระทั่งเกิดการตกเลือดภายใน ผลกระทบเหล่านี้เกิดขึ้นเรื่อยในเวลาหลายวัน จนกระทั่งเมื่อถึงการก่อพิษขั้นสุดท้าย สัตว์ฟันแทะจะเหนื่อยล้าและล้มลงเนื่องจากภาวะของเหลวในกระแสเลือดลดลงหรือโลหิตจาง และตายอย่างสงบ ข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้สารเหล่านี้เพื่อกำจัดสัตว์ฟันแทะเป็นวิธีที่ปรานีหรือไม่ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น[3]
ข้อได้เปรียบของการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดเพื่อกำจัดหนูคือระยะเวลาสำหรับสารพิษที่ออกฤทธิ์และฆ่าสัตว์ ซึ่งหมายความว่าสัตว์ฟันแทะจะไม่รู้ตัวว่าสารพาที่กินเป็นสิ่งที่ก่อความเสียหายภายในร่างกายของมันเอง
วิตามินเค-1 สามารถใช้เพื่อเป็นยาแก้พิษสำหรับสัตว์เลี้ยงหรือมนุษย์ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด สารพิษเหล่านี้ทำหน้าที่โดยปิดกั้นการทำงานของตับ และในกรณีที่อยู่ในขั้นติดพิษที่สูง ร่างกายจะไม่มีสารที่มีผลของการให้เลือดแข็งตัวหลายชนิด และปริมาณของเลือดที่หมุนเวียนจะหายไป เพราะฉะนั้นการให้เลือด (ซึ่งมีสารที่มีผลของการให้เลือดแข็งตัว) สามารถช่วยชีวิตสัตว์ที่ได้รับสารพิษได้
เมนูนำทาง
ยาเบื่อหนู แบบใช้สารเคมีใกล้เคียง
ยาเบื่อหนูแหล่งที่มา
WikiPedia: ยาเบื่อหนู http://www3.interscience.wiley.com/journal/1207467... http://www3.interscience.wiley.com/resolve/openurl... http://www3.interscience.wiley.com/resolve/openurl... //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17655702 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/18642329 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19000263 //doi.org/10.1002%2Fps.1623 //doi.org/10.1111%2Fj.1365-2885.2008.00979.x //doi.org/10.1111%2Fj.1600-0609.2007.00904.x //doi.org/10.1371%2Fjournal.pone.0060537