พุทธศาสนา ของ ยุคคามากูระ

พระภิกษุโฮเน็ง ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งนิกายแดนบริสุทธิ์ในญี่ปุ่น หรือนิกายโจโด

ในยุคคามากูระนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการพุทธศาสนาญี่ปุ่นจากการนำเข้าพุทธศาสนานิกายใหม่จากประเทศจีน ได้แก่นิกายแดนบริสุทธ์ หรือนิกายโจโด (ญี่ปุ่น: 浄土宗 โรมาจิJōdo-shū) และนิกายเซ็น แม้ว่าโชกุนบากูฟุคามากูระมีอำนาจปกครองในทางโลก แต่อำนาจในการปกครองศาสนายังคงอยู่ที่สถาบันพระจักรพรรดิ เดิมทีนับตั้งแต่ยุคเฮอังพุทธศาสนาวัชรยานซึ่งเน้นเกี่ยวกับพิธีกรรมไสยศาสตร์ประกอบด้วยนิกายเท็งได (ญี่ปุ่น: 天台 โรมาจิTendai) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดบนเขาฮิเอ (ญี่ปุ่น: 比叡山 โรมาจิHiei-zan) และนิกายชิงงอน (ญี่ปุ่น: 真言 โรมาจิShingon) ผสมผสานกับศาสนาชินโตซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น กลายเป็นศาสนาชินโตรวมกับพุทธมหายาน (ญี่ปุ่น: 神仏習合 โรมาจิShinbutsu-shūgō ) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักพระจักรพรรดิญี่ปุ่นและชนชั้นขุนนางในเมืองเกียวโต นอกจากนี้ยังมีสำนักพุทธมหายานหกสำนักแห่งเมืองนาระ (Six Schools of Nara) พุทธศาสนามหายานนิกายที่รุ่งเรืองมาก่อนสมัยคามากูระเรียกรวมกันว่า "พุทธศาสนาเก่า" ในขณะที่นิกายแดนบริสุทธิ์ นิกายเซ็น และนิกายนิจิเร็งซึ่งถือกำเนิดขึ้นในสมัยคามากูระนั้นเรียกว่า "พุทธศาสนาใหม่"

นิกายแดนสุขาวดี

ในค.ศ. 1175 พระภิกษุโฮเน็ง (ญี่ปุ่น: 法然 โรมาจิHōnen) แห่งเขาฮิเอได้ศึกษางานเขียนของพระภิกษุชาวจีนเกี่ยวกับแนวความคิดของนิกายแดนบริสุทธิ์เรื่องเนมบูตสึ (ญี่ปุ่น: 念仏 โรมาจิNenbutsu) หรือการกล่าวอมิตาพุทธ นิกายแดนบริสุทธิ์เน้นถึงการกล่าวคำว่าอมิตาพุทธสามารถทำให้หลุดพ้นเข้าสู่แดนสุขาวดีหรือแดนบริสุทธิ์ของพระอมิตาภพุทธะได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมที่ซับซ้อน พระภิกษุโฮเน็งมีความเห็นว่าพุทธศาสนาวัชรยานเน้นพิธีกรรมไสยศาสตร์มากกว่าการแสวงหาทางหลุดพ้น จึงเดินทางออกจากเขาฮิเอมาเผยแพร่หลักคำสอนของนิกายแดนบริสุทธิ์ให้แก่ชนชั้นซามูไรและชาวบ้านทั่วไปซึ่งแต่เดิมไม่สามารถเข้าถึงพุทธศาสนาวัชรยานได้ อย่างไรก็ตามนิกายแดนบริสุทธิ์ซึ่งเป็นนิกายใหม่ของญี่ปุ่นถูกต่อต้านจากราชสำนักเกียวโตและพระสงฆ์นิกายอื่นๆ ซึ่งมองว่านิกายแดนบริสุทธิ์เป็นลัทธินอกรีต ในค.ศ. 1207 พระจักรพรรดิโกะ-โทะบะมีพระราชโองการให้เนรเทศพระภิกษุโฮเน็งและศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย และห้ามการเผยแพร่แนวความคิดเรื่องเนมบูตสึ พระภิกษุโฮเน็งถูกเนรเทศไปยังเกาะชิโกกุต่อมาค.ศ. 1211 ทางราชสำนักเกียวโตให้อภัยโทษแก่โฮเน็งและอนุญาตให้เผยแพร่เน็มบูตสึอีกครั้ง ทำให้โฮเน็งเดินทางกลับมายังนครหลวงเกียวโตได้และมรณภาพในปีต่อมา พระภิกษุโฮเน็งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ก่อตั้งนิกายแดนบริสุทธิ์ หรือนิกายโจโดในญี่ปุ่น

บรรดาลูกศิษย์ของพระโฮเน็งถูกเนรเทศไปยังแคว้นต่างๆในญี่ปุ่นต่างแยกตัวออกไปก่อตั้งสำนักของตนเอง พระภิกษุเบงโช (ญี่ปุ่น: 弁長 โรมาจิBenchō) ซึ่งถูกเนรเทศไปยังเกาะคีวชูก่อตั้งสำนักชินเซ (ญี่ปุ่น: 鎮西 โรมาจิChinzei ซึ่งแปลว่า เกาะคีวชู) ต่อมาสำนักชินเซได้เผยแพร่ไปยังเมืองคามากูระ ทำให้สำนักชินเซกลายเป็นสำนักหลักของนิกายโจโด นอกจากนี้ยังมีพระภิกษุชินรัง (ญี่ปุ่น: 親鸞 โรมาจิShinran) ผู้ก่อตั้งนิกายแดนบริสุทธิ์ที่แท้จริง หรือนิกายโจโดชิน (ญี่ปุ่น: 浄土真宗 โรมาจิJōdo-shinshū) แยกออกไปเป็นนิกายใหม่

นิกายเซ็น

วัดโคโตกูอิง ที่เมืองคามากูระ เป็นวัดในพุทธศาสนานิกายแดนบริสุทธิ์ รูปหล่อพระพุทธรูปใหญ่ไดบูตสึเป็นรูปของพระอมิตาภพุทธะ เกิดจากการเรี่ยไรเงินของนางอินาดะ (Inada-no-tsubone) หล่อจนแล้วเสร็จในค.ศ. 1252 ในยุคคามากูระ

ในค.ศ. 1168 ภิกษุเอไซ (ญี่ปุ่น: 栄西 โรมาจิEisai) แห่งเขาฮิเอ เดินไปยังเขาเทียนไถในประเทศจีนเพื่อศึกษาหลักการเข้าฌานวิปัสสนาในสำนักหลินจี้ (Línjì, 臨濟) หรือริงไซ (Rinzai) พระภิกษุเอไซเดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุ่นในค.ศ. 1191 แต่พระภิกษุเอไซยังไม่ได้เผยแพร่นิกายเซ็นซึ่งได้เรียนรู้มาจากประเทศจีนเนื่องจากภัยคุกคามจากนิกายเทนไดซึ่งเรืองอำนาจอยู่ในเกียวโต จนกระทั่งพระเอไซเดินทางไปยังเมืองคามากูระในค.ศ. 1199 พบกับโชกุนมินาโมโตะ โนะ โยริอิเอะ และนางโฮโจ มาซาโกะ ทำให้รัฐบาลโชกุนคามากูระและชนชั้นซามูไรต่างยอมรับนับถือนิกายเซ็นเป็นพุทธศาสนานิกายใหม่ซึ่งเน้นเกี่ยวกับการฝึกจิตปฏิบัติตนสอดคล้องกับหลักการของชนชั้นซามูไร พุทธศาสนานิกายเซ็นจึงแตกต่างจากพุทธศาสนานิกายอื่นๆในญี่ปุ่นในประเด็นที่ว่ารัฐบาลโชกุนให้การสนับสนุนและเข้าปกครองนิกายเซ็นโดยตรง ลูกศิษย์ของเอไซชื่อว่าโดเก็ง (ญี่ปุ่น: 道元 โรมาจิDōgen) เดินทางไปยังประเทศจีนในค.ศ. 1223 ไปยังมณฑลเจ้อเจียงประเทศจีนเพื่อศึกษานิกายฌานสำนักเฉาต้ง หรือโซโต (ญี่ปุ่น: 曹洞 โรมาจิSōtō) เข้ามาในญี่ปุ่นเป็นนิกายเซ็นอีกสำนักหนึ่ง รัฐบาลโชกุนคามากูระจัดตั้งระบบการปกครองนิกายเซ็นแบบลำดับชั้นเรียกว่าระบบปัญจบรรพต หรือ ระบบโกซัง (ญี่ปุ่น: 五山 โรมาจิGozan) ซึ่งรับมาจากจีนราชวงศ์ซ่ง คณะสงฆ์นิกายเซ็นถูกปกครองโดยวัดใหญ่ระดับสูงห้าแห่งในเมืองคามากูระ วัดระดับกลางเรียกว่า จีเซตซึ (ญี่ปุ่น: 十刹 โรมาจิJissetsu) และวัดระดับล่าง เรียกว่า โชซัง (ญี่ปุ่น: 諸山 โรมาจิShozan)

นิจิเร็ง

ภาพมัณฑละโกฮงซง ซึ่งเป็นเครื่องประกอบพิธีบูชาในพุทธศาสนานิกายนิจิเร็ง การสวด "นะโม เมียวโฮ เรงเง เกียว" ต่อหน้าโกฮนซน จะนำมาซึ่งการหลุดพ้น

นิกายนิจิเร็ง (ญี่ปุ่น: 日蓮 โรมาจิNichiren) ถือกำเนิดขึ้นจากแนวความคิดและหลักคำสอนของพระภิกษุนิจิเร็ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พระภิกษุนิจิเร็งมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายสมัยคามากูระ มีคำสอนยึดถือตามสัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นหลัก พระนิจิเร็งได้รับอิทธิพลจากนิกายเทนไดในประเด็นที่ว่ามนุษย์สามารถบรรสุพุทธสภาวะได้ในชาติภพปัจจุบัน แต่พระนิจิเร็งมีความเห็นว่าหลักคำสอนของพุทธศาสนานิกายต่างๆในญี่ปุ่นขณะนั้นทั้งพุทธศาสนาเก่าและพุทธศาสนาใหม่ไม่ใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง มีเพียงสัทธรรมปุณฑริกสูตรเท่านั้นที่เป็นหลักคำสอนที่ถูกต้อง พระนิจิเร็งกล่าวโจมตีนิกายแดนสุขาวดีอย่างรุนแรงในประเด็นเรื่องการสวดอมิตาพุทธหรือเนมบูตสึ นิจิเร็งไม่เห็นด้วยกับนิกายวัชรยานให้ความสำคัญแก่พิธีกรรมมากเกินไป และไม่เห็นด้วยกับการฝึกจิตปฏิบัติตนของนิกายเซ็นซึ่งยากและไม่สามารถปฏิบัติได้จริง การที่ประเทศญี่ปุ่นยึดถือตามหลักคำสอนที่ผิดทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภัยพิบัติต่างๆรวมถึงการรุกรานของมองโกล การสวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรจะนำความสุขสวัสดิ์มาสู่ประเทศญี่ปุ่น

การที่พระภิกษุนิจิเร็งมีหลักคำสอนเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทำให้เกิดความขัดแย้งกับนิกายอื่นๆและรัฐบาลโชกุน พระนิจิเร็งยื่นเสนองานเขียนเรื่อง "หลักคำสอนที่แท้จริงและถูกต้องเพื่อความสุขสวัสดิ์ของบ้านเมือง" (ญี่ปุ่น: 立正安国論 โรมาจิRisshō Ankoku Ron) ต่อรัฐบาลโชกุนคามากูระในสมัยของชิกเก็งโฮโจ โทกิโยริ เพื่อโน้มน้าวให้รัฐบาลโชกุนหันมาสนับสนุนหลักคำสอนของตน ต่อมาในสมัยของชิกเก็งโฮโจ โทกิมูเนะ มีคำสั่งให้เนรเทศพระนิจิเร็งไปยังคาบสมุทรอิซุ (Izu peninsula) ในค.ศ. 1261 เป็นเวลาสองปีจากนั้นจึงได้รับการเว้นโทษและเดินทางกลับมายังคามากูระอีกครั้ง ในค.ศ. 1264 เกิดข่าวการรุกรานของมองโกลทำให้นิจิเร็งโจมตีรัฐบาลโชกุนว่านับถือพุทธศาสนาผิดนิกายทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ รัฐบาลโชกุนจึงมีคำสั่งให้นำตัวพระนิจิเร็งไปประหารชีวิต แต่ในขณะที่เพชรฆาตกำลังจะประหารพระนิจิเร็งนั้นเกิดนิมิตมีลูกทรงกลมส่องแสงสว่างเจิดจ้าลอยขึ้นเหนือลานประหารทำให้เพชรฆาตเกิดความหวาดกลัวไม่สามารถประหารพระนิจิเร็งได้ เมื่อประหารพระนิจิเร็งไม่สำเร็จรัฐบาลโชกุนจึงเนรเทศพระนิจิเร็งไปยังเกาะซาโดะอันห่างไกล ขณะที่อยู่บนเกาะซาโดะพระนิจิเร็งเกิดแนวความคิดเรื่องการสวดคาถาว่านามู เมียวโฮ เรงเง เกียว (ญี่ปุ่น: 南無妙法蓮華經 โรมาจิNamu Myōhō Renge Kyō) ต่อหน้ามัณฑละเรียกว่าโกฮงซง (ญี่ปุ่น: 御本尊 โรมาจิGohonzon) เพื่อแสวงหาการหลุดพ้น หลังจากที่อยู่บนเกาะซาโดะเป็นเวลาเก้าปี พระนิจิเร็งจึงได้รับการยกโทษในค.ศ. 1274 และเดินทางไปจำวัดอยู่ที่เขามิโนบุ (อยู่ที่จังหวัดยามานาชิในปัจจุบัน) พระนิจิเร็งมรณภาพในค.ศ. 1282

หลักคำสอนของพระนิจิเร็งมีเป้าหมายเพื่อความสงบสุขปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก ทำให้นักวิชาการในยุคเมจิตีความหลักคำสอนของนิจิเร็งว่าเป็นลัทธิชาตินิยมรูปแบบหนึ่ง