ภูมิหลัง ของ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก_นัดชิงชนะเลิศ_2018

แชมป์เก่า เรอัลมาดริด เอื้อมมาถึงสถิติการเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 16 หลังเอาชนะด้วยสกอร์รวม 4–3 ในการพบกับทีมจาก เยอรมัน บาเยิร์นมิวนิก, น็อคพวกเขาออกจากการแข่งขันเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน. นี่เป็นการเข้าชิงชนะเลิศครั้งที่สามของเรอัลมาดริด, และเป็นนัดชิงชนะเลิศครั้งที่สี่ในห้าทัวร์นาเมนต์กับโอกาสที่จะชนะ สถิติแชมป์สมัยที่ 13. ครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาชนะนัดชิงชนะเลิศในปี 1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966, 1998, 2000, 2002, 2014, 2016 และ 2017; และแพ้ในปี 1962, 1964 และ 1981. นี่เป็นนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 20 ของพวกเขาด้วยในทุกฤดูกาลการแข่งขันของยูฟ่า, โดยมีการลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ คัพวินเนอร์สคัพ สองครั้ง (พ่ายแพ้ในปี 1971 และ 1983) และนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพ สองครั้ง (ชนะในปี 1985 และ 1986). เรอัลมาดริดคือทีมที่สามเท่านั้นนับตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อของการแข่งขันในฐานะแชมเปียนส์ลีกเพื่อที่จะไปถึงนัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่สามติดต่อกันหลังจากที่ มิลาน ใน 1995 และ ยูเวนตุส ใน 1998. พวกเขากำลังมองหาที่จะเป็นทีมแรกในยุคแชมเปียนส์ลีก, และเป็นครั้งที่สี่โดยรวม, ที่จะชนะในนัดชิงชนะเลิศสามครั้งตรงๆ, ความสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้นสำหรับเรอัลมาดริดในยุค 1950s, ในชณะที่พวกเขารอที่จะชนะเพื่อทำสถิติชนะนัดชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน, เช่นเดียวกับผู้เล่นของ อายักซ์ และ บาเยิร์นมิวนิก ในยุค 1970s ในปี 1973 และ 1976, ตามลำดับ.[11]

ลิเวอร์พูล ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่แปดของพวกเขา, เป็นครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่ 2007, หลังจากเอาชนะสกอร์รวม 7–6 เหนือทีมจาก อิตาเลียน โรมา.[12] พวกเขาชนะในนัดชิงชนะเลิศถึงห้าครั้ง (1977, 1978, 1981, 1984 และ 2005), และพ่ายแพ้ถึงสองครั้งในปี (1985 และ 2007). นี่เป็นนัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 13 ของพวกเขาด้วยในทุกฤดูกาลการแข่งขันของยูฟ่า, โดยมีการลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ คัพวินเนอร์สคัพ หนึ่งครั้ง (พ่ายแพ้ในปี 1966) และนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าคัพ/ยูโรปาลีก สี่ครั้ง (ชนะในปี 1973, 1976 และ 2001; และแพ้ในปี 2016).[13] ลิเวอร์พูลเป้นทีมแรกนับตั้งแต่ บาเยิร์นมิวนิก ใน ฤดูกาล 2011–12 ที่ทะลุเข้ามาถึงนัดชิงชนะเลิศด้วยการเข้าแข่งขันผ่านการ รอบเพลย์ออฟ. นี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่มากที่สุดของพวกเขาในนัดชิงชนะเลิศที่เป็ฯทีมจากอังกฤษ (เชลซี).[14] ลิเวอร์พูลคือทีมที่ยัดเยียดความปราชัยมากที่สุดให้กับเรอัลมาดริดในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ, ชนะ 1–0 ในกรุงปารีสในปี ค.ศ. 1981.[15]

นอกเหนือจากนั้นในนัดชิงชนะเลิศปี ค.ศ. 1981, ทั้งสองทีมลงเล่นกันทีมละสี่สมัยในยุคแชมเปียนส์ลีก. ลิเวอร์พูลชนะทั้งสองนัดใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2008–09 รอบ 16 ทีมสุดท้าย, ในขณะที่เรอัลมาดริดชนะทั้งสองนัดใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 รอบแบ่งกลุ่ม.[16]

ใกล้เคียง

ยูฟ่า ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ยูฟ่ายูโรปาลีก ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2016–17 รอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016–17 รอบคัดเลือกและรอบเพลย์ออฟ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2023–24 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ฤดูกาล 2023–24 ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2019–20 รอบคัดเลือกและรอบเพลย์ออฟ (เส้นทางหลัก)

แหล่งที่มา

WikiPedia: ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก_นัดชิงชนะเลิศ_2018 http://kwese.espn.com/football/uefa-champions-leag... http://www.uefa.com/newsfiles/ucl/2018/2021711_fr.... http://www.uefa.com/newsfiles/ucl/2018/2021711_lu.... http://www.uefa.com/newsfiles/ucl/2018/2021711_ts.... http://www.uefa.com/uefachampionsleague/history/se... http://www.uefa.com/uefachampionsleague/index.html http://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/newsi... http://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/newsi... http://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/newsi... http://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/newsi...