ประวัติศาสตร์ ของ ยูเทรกต์

สมัยโรมัน

ประวัติที่ชัดเจนของยูเทรกต์ เริ่มต้นในสมัยโรมัน เมื่อจักรพรรดิเกลาดิอุส นำกองทัพเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปมาจนถึงดินแดนเนเธอร์แลนด์ จักรพรรดิตัดสินใจว่าจะไม่รุกรานขึ้นเหนือไปอีก จึงเริ่มวางแนวเขตแดนเลียบแม่น้ำไรน์และสร้างป้อมปราการและสร้างป้อมปราการแบบหลวมๆขึ้นเมื่อราว ค.ศ. 50[4] มีกองกำลังประจำได้ราว 500 คน ในครั้งนั้น ป้อมปราการยูเทรกต์เป็นเพียงแนวไม้ที่เรียกว่า เตร็คตุม (Traiectum) ในภาษาโรมันซึ่งหมายถึงบริเวณที่จะข้ามแม่น้ำไรน์ได้ คำนี้ออกเสียงในภาษาดัตช์ว่า เตร็คต์ (Trecht) และได้มีการเติมคำว่า อือ (U) ที่มาจากภาษาดัตช์โบราณคำว่า อืต (uut) หมายถึง เก่าแก่ เพื่อให้ไม่ให้สับสนกับเมืองมาสทริชท์ จุดข้ามแม่น้ำเมิซที่ตกเป็นของโรมันเช่นกันทางตอนใต้[5][6]

ชุมชนรอบแนวป้อมปราการได้เติบโตขึ้น มีช่างฝีมือ พ่อค้า ทหารและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ ต่อมาราว ค.ศ. 200 มีการเสริมความแข็งแรงของป้อมปราการด้วยการเปลี่ยนจากวัสดุไม้เป็นหินจากภูเขาไฟ[7] (ยังคงหลงเหลือแถวดอมสแควร์ในทุกวันนี้)

หลังจากนั้น ชาวเยอรมันได้รุกรานดินแดนของอาณาจักรโรมันและยูเทรกต์ก็ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมตั้งแต่ ค.ศ. 275 กลายเป็นดินแดนของชาวแฟรงก์ ที่เรืองอำนาจหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก และในช่วงนี้ไม่ค่อยมีบันทึกเกี่ยวกับยูเทรกต์เท่าใดนัก

ศูนย์กลางทางคริสต์ศาสนาของเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 650 ถึง 1579)

เมื่อปี ค.ศ. 695 สมเด็จพระสันตะปาปาเซอร์จิอุสที่ 1 แต่งตั้งนักบุญวิลลิบรอร์ดขึ้นเป็นบาทหลวงแห่งดินแดนฟรีเชีย จึงได้มีการสถาปนามุขมณฑลยูเทรกต์ (Bishopric of Utrecht) ขึ้น ต่อมาใน ค.ศ. 723 ชาร์ล มาร์แตล ผู้ปกครองราชอาณาจักรแฟรงก์ยกป้อมปราการและดินแดนโดยรอบให้มุขมณฑล ยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่นั้น ยูเทรกต์แข่งขันเรื่องอำนาจกับเมืองโดเรอสตัด ศูนย์กลางการค้าในสมัยนั้น แต่พอโดเรอสตัดเสื่อมลงในปี ค.ศ. 850 ยูเทรกต์กลายเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในเนเธอร์แลนด์[8] บาทหลวงประจำถิ่นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชาย มุขมณฑลจึงได้ยกฐานะขึ้นเป็นมุขนายก (Prince-Bishopric) ใน ค.ศ. 1024

เมื่อ ค.ศ. 1527 พระสังฆราชได้ขายที่ดินให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ยูเทรกต์จึงสิ้นอำนาจทางสงฆ์และสถานะเจ้าชายมุขนายก ตกเป็นพื้นที่ขุนนางทางโลกภายใต้การบริหารของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คซึ่งในขณะนั้นได้ปกครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ส่วนอื่นด้วย คณะสงฆ์ได้ส่งมอบอำนาจการเลือกสังฆราชให้กับจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 โดยได้รับความยินยอมจากสมเด็จพระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 7 อย่างไรก็ตาม อำนาจทางสงฆ์ของยูเทรกต์ยังไม่เสื่อมไป ยังคงเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาอยู่เรื่อยมา

สาธารณรัฐดัตช์ (ค.ศ. 1579 ถึง 1806)

กองทัพฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปิดล้อมยูเทรกต์ได้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1672

ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คปกครองยูเทรกต์ได้เพียงไม่นาน ยูเทรกต์ได้เข้าร่วมกับจังหวัดอื่นๆในเนเธอร์แลนด์ทำการปฏิวัติต่อการปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐดัตช์เมื่อปี ค.ศ. 1579 ในปีต่อมา มีการล้มเลิกมุขมณฑลและอัครมุขมณฑล และให้ยูเทรกต์ขึ้นตรงต่อการปกครองของสาธารณรัฐโดยตรง ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ฮอลแลนด์ ความรุ่งเรืองของยูเทรกต์จึงเริ่มซบเซาลง ประชาชนผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกลดลงเหลือแค่ 40 เปอร์เซ็นต์เมื่อกลางศตวรรษที่ 17[9]

ต่อมา เนเธอร์แลนด์เกิดสงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1672 อันเป็นปีหายนะสิ้นสุดยุคทองของเนเธอร์แลนด์ แม้จะไม่เสียเอกราชแต่ฝรั่งเศสเคยยึดครองพื้นที่ได้ถึงทางตะวันตกของยูเทรกต์ อีกสองปีต่อมาเกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มใจกลางยูเทรกต์ บ้านเมืองได้รับความเสียหายอย่างหนักรวมถึงมหาวิหารสำคัญของเมือง จึงได้มีการสร้างหอคอยที่ดอมสแควร์ขึ้นมาแทน

ยูเทรกต์เป็นสถานที่ลงนามในสนธิสัญญายูเทรกต์ อันเป็นการตกลงระหว่างรัฐต่าง ๆ ในยุโรปและช่วยในการยุติสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน เมื่อ ค.ศ. 1713 ต่อมาเนเธอร์แลนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1806 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียน จนสิ้นสุดสงครามนโปเลียน เนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยรวมประเทศเบลเยียมเข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย ในปี ค.ศ. 1815

สมัยใหม่ (ค.ศ. 1815 ถึงปัจจุบัน)

ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยูเทรกต์หมดความสำคัญในฐานะเมืองป้อมปราการ จึงมีการวางผังเมืองใหม่ เริ่มจากการทำลายกำแพงเมืองเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง ทางรถไฟระหว่างยูเทรกต์กับอัมสเตอร์ดัมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1843 หลังจากนั้นยูเทรกต์จึงค่อยๆกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเครือข่ายรถไฟเนเธอร์แลนด์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับยูเทรกต์ที่ขยายตัวออกไปเกินขอบเขตในสมัยกลาง เมื่อปี ค.ศ. 1853 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์อนุญาตให้อำนาจของมุขมณฑลสงฆ์ของยูเทรกต์กลับมาอีกครั้ง ยูเทรกต์จึงกลายเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาในเนเธอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเทรกต์ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซีเยอรมนี เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนอื่นของเนเธอร์แลนด์ จนกระทั่งได้เยอรมนียอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการพัฒนาเมืองออกสู่รอบนอก ส่วนพื้นที่ใจกลางเมืองถูกพัฒนาให้ทันสมัย เกิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มากมาย

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: ยูเทรกต์ http://utrecht.mobi/ http://www.cu2030.nl/ http://www.hetutrechtsarchief.nl/werkstukken/onder... http://www.utrecht.nl/ http://www.utrecht.nl/images/DSO/monumenten/public... http://www.utrecht.nl/images/Secretarie/Bestuursin... http://www.utrecht.nl/smartsite.dws?id=12564&persb... http://www.utrecht.nl/smartsite.dws?id=13353 http://web.archive.org/web/20070928161613/http://g... http://web.archive.org/web/20071109042350/http://w...