เมนูนำทาง
รัตนชาติ รัตนชาติไทยบทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
บทความหลัก: นพรัตน์
หากจะแปลตามตัว รัตนชาติ ที่เดิมเขียนกันว่า รัตนชาต ก็จะแปลไว้ว่า สิ่งที่ถือกำเนิดมาเป็นแก้ว (รัตน=แก้ว ชาต=เกิด)ซึ่งในประเทศไทยเอง ก็พบว่ามีรัตนชาต 9 อย่างอันเป็นมิ่งมงคล แต่บางชนิดหายากหรือหาไม่พบในประเทศไทยปัจจุบันแล้ว
รัตนชาต ทั้ง 9 หรือเรียกว่า นพรัตน์ นั้น โบราณท่านผูกเป็นบทกลอนไว้ว่า
เพชรดีมณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์
ซึ่งตามคำกลอนดังกล่าว ไม่ได้เรียงตามระดับราคาหรือค่าความแข็งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้พบว่าชื่อเรียกในโบราณนั้น ปัจจุบันสามารถหมายถึงรัตนชาตชนิดอื่นได้เช่นกัน ถ้าอ้างอิงตามกลอนบทนี้ สามารถถอดความเป็นรัตนชาต 9 อย่างได้ดังนี้
นพรัตน ความหมายตามภาษาสันสกฤตหมายถึง "๙ รัตนชาติ"
นพรัตน หรือ นวรัตน และ เนาวรัตน จากภาษาสันกฤต ซึ่งพ้องเสียงกับอีกหลายๆ ประเทศในดินแดนเอเชีย สืบทอดต่อกันมาแต่ครั้งบุรพกาล ความสำคัญทั่วแดนสุวรรณภูมินับถือตรงกันว่า เป็นรัตนศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ซึ่งนอกเหนือจากศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป
เข้าใจว่าชนเอเชียทั้งหลายให้การยอมรับและนับถือในสิริมงคลแห่งนพรัตน์
ในภาษาสันสกฤต เรียกขนานนามว่า "นวรัตน (नवरत्न)" รวมถึงภาษาฮินดี,พม่า อินโดนีเซีย และเนปาล ส่วนในภาษาสิงหลเรียก "นวรัตเน" และในภาษาไทยเรียก "นพรัตน์" เป็นธรรมเนียมของรัตนโบราณที่อยู่คู่ดินแดนสุวรรณภูมิ แต่ดั้งเดิมจึงไม่ปรากฏที่มา
เกือบทุกประเทศในแถบเอเชียนับถือว่าเป็นรัตนสูงส่งของเทพ ซึ่งตกทอดสืบต่อกันมา ทั้งในประเทศอินเดีย เนปาล ศรีลังกา สิงคโปร์ พม่า กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย (โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนา)[1]
และในประเทศดังกล่าว ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ให้ความสำคัญอย่างเป็นทางการและยกย่องให้นพรัตนเป็นรัตนมงคลโบราณแห่งแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ บัญญัติว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับสำหรับยศแห่งพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างดวงตรามหานพรัตน สำหรับห้อยสายสะพายขึ้นเป็นครั้งแรกของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[2]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.)องค์ประกอบสายสะพายชั้นเดียวของเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ฯ
และนพรัตนยังเป็นส่วนหนึ่งของนามกรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานนาม โดยทรงเปรียบเทียบเมืองหลวงของไทยนี้ดั่งเมืองในสรวงสวรรค์แห่งเทพ อันเป็นที่มาของรัตนชาติทั้ง ๙ ประการว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" [3]
ซึ่งจากเอกสารในหอสมุดของสยามสมาคมฯระบุว่าครูมนตรี ตราโมท เป็นผู้นำกลอนนพรัตน์มาแต่งท่วงทำนองใช้ร้องเป็นระบำนพรัตน์กล่าวคือ"เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองสวยสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์ฯ"
การให้ความหมายของรัตนชาติทั้ง ๙ ประการนี้ท่านพันเอก (พิเศษ) ประจวบ วัชรปาณ และท่านเทพย์ สาริกบุตรได้ระบุไว้ใน"คัมภีร์ปาริชาตชาดก" หรือ "ชาตกปาริชาต (जातक पारिजात - Jataka Parijata)" (บทที่ ๒ โศลก ๒๑ หน้า ๓๖-๓๗)
"ทับทิมบริสุทธิ์ เป็นรัตนของอาทิตย์ ไข่มุกที่ขาวบริสุทธิ์โดยแท้ธรรมชาติ เป็นรัตนของจันทร์ ปะการังแก้วประวาล เป็นรัตนของอังคาร มรกต เป็นรัตนของพุธ บุษราคัม เป็นรัตนของพฤหัสบดี เพชร เป็นรัตนของศุกร์ ไพลิน เป็นรัตนของเสาร์ โกเมนเอก เป็นรัตนของราหู และไพฑูรย์ เป็นรัตนของเกตุฯ"กล่าวคือ
ดวงดาว | รัตน | จักรราศี |
---|---|---|
พระอาทิตย์ | มณีแดง | สิงห์ |
พระจันทร์ | มุกดา | กรกฎ |
พระอังคาร | ปะการังแดง | เมษ/พิจิก |
พระพุธ | มรกต | เมถุน/กันย์ |
พระพฤหัสบดี | บุษราคัม | ธนู/มีน |
พระศุกร์ | เพชร | พฤษภ/ตุลย์ |
พระเสาร์ | ไพลิน | มังกร/กุมภ์ |
พระราหู | โกเมนเอก | - |
พระเกตุ | ไพฑูรย์ | - |
หลักฐานอ้างอิงจากแหล่งอื่นนอกจากโคลงใน"ชาตกปาริชาต" อัธยายที่ ๒ โศลก ๒๑ ซึ่งเรียบเรียงเป็นภาษาสันสกฤตโดยปราชญ์ไวทฺยนาถ ทีกฺษิต (वैद्यनाथ दीक्षित - Vaidyanatha Dikshita) บุตรแห่งโยคีไวนคาทะ ธารี แล้ว โศลกเดียวกันนี้บัญญัติไว้เช่นกันโดย เอส.เอ็ม ฐากูร (พ.ศ. ๒๔๒๒) ในพระคัมภีร์ "มณิมาลา (मणिमाला - Mani mala)".หน้า ๕๗๕ โศลก ๗๙ กล่าวคือ
माणिक्यं तरणेः सुजात्यममलं मुक्ताफलं शीतगोःमाहेयस्य च विद्रुमं मरकतं सौम्यस्य गारुत्मतमदेवेज्यस्य च पुष्पराजमसुराचार्यस्य वज्रं शनेःनीलं निर्मलमन्ययोश्च गदिते गोमेदवैदूर्यके
มาณิกฺยํ ตรเณะ สุชาตฺยมมลํ มุกฺตาผลํ ศีตโคะมาเหยสฺย จ วิทรุมํ มรกตํ เสามฺยสฺย คารุตฺมตมเทเวชฺยสฺย จ ปุษฺปราชมสุราจารฺยสฺย วชฺรํ ศเนะนีลํ นิรฺมลมนฺยโยศฺจ คทิเต โคเมทไวทูรฺยเก
คำแปล
รัตนชาติ ดังกล่าวนี้ ต้องคุณภาพสูงและปราศจากตำหนิ
นพรัตนธรรมจักรเก้ารัตนพิสุทธิ์ประดับตามตำแหน่งยันต์นพเคราะห์ธรรมเนียมของหลักการจัดเรียงประดับรัตนชาติทั้ง ๙ ตามระบุในภาพนี้ กล่าวคือ ทับทิมเพื่อพระอาทิตย์ จะอยู่ที่ศูนย์กลางเสมอ และล้อมรอบ (ตามเข็มนาฬิกา) บนสุดคือ เพชร,ไข่มุกแท้ธรรมชาติ,ปะการังแดง,โกเมนเอก,ไพลิน,ตาแมว,บุษราคัม,และ มรกต เป็นตำแหน่งในหลักการเดียวกันของยันต์นพเคราะห์ ตามหลักของกฎธรรมชาติ โดยมีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของการไหลเวียนพลังงานในระบบสุริยจักรวาล[5] และโปรดดูภาพตัวอย่างการประดับเรียง ในลักษณะสร้อยอย่างถูกต้องของ "นพรัตน์แห่งสิริมงคล"[6].
โศลกจาก "มณีมาลา" ที่กล่าวไว้ข้างต้นมีนัยสำคัญคือ คำว่า"สุจัทยัม-อมาลัม" (สุชาติ = ชาติกำเนิดดี, และอมลา=บริสุทธิ์ ไร้มลทิน) อันเป็นความสำคัญบ่งบอกไว้ให้ทราบว่า ตามระบบความเชื่อถือของชาวเอเชียล้วนนับถือว่า อัญมณีที่มีสิริมงคลต้องคุณภาพดีปราศจากซึ่งตำหนิ
คำสอนสั่งที่ถูกมองข้ามไปนี้ยังมีข้อสนับสนุนจาก "พระครุฑโบราณ"บทที่ ๖๘ โศลก ๑๗ บัญญัติโดยพระสูตต์ โคสวามี ดังนี้ "รัตนชาติบริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ กอปรพลานุภาพที่มีสิริมงคล สามารถปกป้องคุ้มครองจากภยันตราย,อวิชา,งู,ยาพิษ,ความหายนะ และผลกรรมสนอง ในขณะชิ้นที่มีตำหนิจะส่งผลตรงข้าม"[7]
และใน "พระอัคนีโบราณ" บทที่ ๒๔๖ โศลก ๗-๘ ได้บัญญัติไว้แต่ครั้งบุรพกาล คือ"รัตนชาติปราศจากราคินและเปล่งประกายที่สะท้อนถึงความแวววาวรุ่งเรือง ควรถือเป็นสื่อนำซึ่งความโชคดี ส่วนชิ้นที่เกิดตำหนิข้างใน,แตกร้าว และไร้ความสุกใสแวววาวหรือขุ่นมัว ขรุขระ หยาบด้าน ไม่ควรใช้อย่างเด็ดขาด"[8]
จากหลักโหราศาสตร์โบราณของเอเชีย ชีวิตบนโลกล้วนขึ้นอยู่กับนพเคราะห์ หรือ ๙ อิทธิพล ซึ่งตำแหน่งที่สถิตของนพเคราะห์ในแผนภูมิดวงชะตาของแต่ละบุคคล ล้วนส่งอิทธิพล ต่อดวงชีวิตของคนๆนั้น กล่าวกันว่าการสวมใส่ ๙ รัตนชาติ จะช่วยให้ดวงดาวตามโหราศาสตร์สมดุล และมีสิริมงคลต่อผู้สวมใส่ ทางโหราศาสตร์เอเชียโบราณยังกล่าวว่าพลังรัตนชาติเหล่านี้ยังผลดีและผลลบต่อชีวิตมนุษย์เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการสวมใส่ดารารัตนชาติ จึงควรจำเป็นต้องปรึกษาโหรโบราณ ระบบพระเวท ควรเป็นผู้ที่ศึกษาและเชี่ยวชาญทางดารารัตนชาติเพื่อให้ต้องโฉลกต่อพื้นฐานดวงชะตาของแต่ละบุคคล แม้ว่าจะเป็นเพียงรัตนเดี่ยวๆหรือการแนะนำให้ประดับรัตนที่สมพงษ์ร่วมในเรือนเดียวกัน [9][10]
ข้อคิดเห็นที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง เช่น การระบุขนาด-น้ำหนักของรัตนชาติ เพื่อการสวมใส่,หรือรัตนต้องสัมผัสผิวผู้สวมใส่,หรือควรสวมใส่รัตนชาติให้กับดวงดาวที่ให้โทษ หรือดวงดาวที่เป็นมงคล,หรือการยอมรับรัตนที่มีตำหนิ หรือรัตนที่ผ่านการเผาแล้วไม่มีพลัง การยอมรับว่าไข่มุกเลี้ยงคือมุกแท้ หรือการทำบุญอุทิศรัตน เพื่อมงคลในชีวิต หรือรัตนต้องประดับกับโลหะที่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก มิฉะนั้นจะไม่มีพลัง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนยังไม่สามารถเป็นข้อเท็จจริงได้เพราะไม่มีข้ออ้างอิงหรือคัมภีร์บัญญัติไว้เป็นหลักฐานว่า สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริง แต่อาจกล่าวได้ว่า "ผู้ให้คำแนะนำทางดารารัตน"เป็นเจ้าของความคิดเห็นเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่มีหลักคัมภีร์และหลักฐานทางตำรามาสนับสนุนก็ตาม โดยที่นับถือกันว่า "รัตนชาติ" สะท้อนพลังงานทางธรรมชาติหรือทางโหราศาสตร์ แต่การพิสูจน์ถึง"พลัง"ให้รัตนแสดงค่าบ่งชี้และวัดผลได้นั้น จึงจะถือเป็นก้าวแรกของการยอมรับทางวิทยาศาสตร์
เมนูนำทาง
รัตนชาติ รัตนชาติไทยใกล้เคียง
รัตนชาติแหล่งที่มา
WikiPedia: รัตนชาติ http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1013863=%E0... http://www.cabinet.thaigov.go.th/eng/d_Ninegem00.h...