ฤดูกาลของสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรจนถึงปัจจุบันในเดือน
พฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีม
คริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีม
ฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขัน
คริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ขณะเดียวกัน ทีม
คริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือน
สิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะใน
เซนต์เจมส์พาร์กหลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี
ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วย
เอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี
ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิล อีสต์ เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิงการควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือน
ธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีมนิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วง
ทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศ
เอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะ
บาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่
กูดิสันพาร์กหลังจาก
สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์
เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะ
แอสตันวิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนาม
เวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี 1927 อีกด้วยในช่วงทศวรรษ
1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์
เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะ
แบล็กพูล 2-0 ในปี 1951 ชนะ
อาร์เซนอล 1-0 ในปี 1952 และชนะ
แมนเชสเตอร์ซิตี 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น
แจคกี มิลเบิร์น,
บ็อบบี มิทเชลล์, และ
สแตน เซมัวร์หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม
โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนักทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วย
อินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วย
ยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็น
สปอร์ติง ลิสบอน,
เฟเยนูร์ด รอตเตอร์ดัม หรือ
รีล ซาราโกซา และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีม
อุจเพสท์จาก
ฮังการีในรอบชิงชนะเลิศนับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่น
กองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
วิน เดวีส์,
ไบรอัน ร็อบสัน,
บ็อบบี มอนเคอร์ หรือ
แฟรงค์ คลาร์กหลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสร
ยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่
จิมมี สมิธ,
โทนี กรีน และ
เทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง
มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วย
เอฟเอคัพและ
ลีกคัพกับ
ลิเวอร์พูลและ
แมนเชสเตอร์ซิตีในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้งในช่วงต้นทศวรรษ
1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีม
อาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมี
เควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติ
อังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดหลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989ในปี 1992
เควิน คีแกนได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดย
เซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตามในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะ
ปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะ
เลสเตอร์ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาลในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่
พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือ
กริมสบี ทาวน์ 2-0นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชน
อังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู
แอนดี โคล ให้กับ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์บวกกับ
คีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริชในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่น
ดาวีด ฌีโนลาและ
เลส เฟอร์ดินานด์มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์
พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วง
คริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่าง
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับ
ลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนาม
แอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ
พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียวนิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติ
อังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่
24 ตุลาคม ค.ศ. 1996คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือน
มกราคม ปี 1997 และถูกแทนที่โดย
เคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอล
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่อ
อาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วย
เอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ
เอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น
มาร์เซลิโน กองหลังชาว
สเปน และ
ซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์
โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไปนิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้ง
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติ
อังกฤษชาว
จอร์ดี เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือ
เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีม
แอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่าง
คีรอน ดายเออร์,
เคร็ก เบลลามี่ และ
โลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของ
พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการ
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วย
เอฟเอคัพและ
ลีกคัพในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกใน
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง
บาร์เซโลนาและ
อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานใน
พรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือก
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ
พาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกลงไปเล่นในถ้วย
ยูฟ่าคัพแทน นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วย
ยูฟ่าคัพนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้
แอสตันวิลลา 1-0 ที่
วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่
เดอะแชมเปียนชิพด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นาน
แอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมี
คริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง
ไมเคิล โอเวน,
มาร์ค วิดูกา,
เดวิด เอ็ดการ์,
โอบาเฟมี มาร์ตินส์ และ
เซบาสเตียน บาสซง