ประวัติ ของ ลอสท์โพรเฟ็ทส์

ลอสท์โพรเฟ็ทส์ ประกอบด้วยสมาชิก 6 หนุ่มจากเวลส์ได้แก่ เอียน วัตคินส์ (ร้องนำ) , ไมค์ ลิวอิส (กีตาร์) , ลี เกซ (กีต้าร์) , สจ๊วต ริชาร์ดสัน (เบส) , อีแลน รูบิน (กลอง) และ เจมี่ โอลิเวอร์ (คีย์บอร์ด,โปรแกรมมิ่ง)

ช่วงแรก (1997–2000)

จากจุดเริ่มต้นก่อตั้งวงในปี 1997 โดยนำชื่ออัลบั้ม Bootleg ของ ดูแรน ดูแรนมาเป็นชื่อวง [1]ในช่วงแรกๆนั้น พวกเขาใช้ชื่อวงว่า "Lozt Prophetz" และภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น "Lostprophets"ลอสท์โพรเฟ็ทส์ก็เริ่มเป็นที่รู้จักจากการที่นิตยสาร เมทัล แฮมเมอร์ ให้คะแนนผลงานในฐานะวงอินดี้ของ ลอสท์โพรเฟ็ทส์ถึง 10 คะแนนเต็ม [2] ก่อนที่ทางวงจะส่งเดโมให้กับ วิสิเบิล นอยซ์ และได้รับการเซ็นสัญญาเข้าสู่สังกัด โซนี่ มิวสิก ในที่สุด

อัลบั้ม thefakesoundofprogress (2000–2002)

ผลงานในรูปแบบอัลบั้มชุดแรกของพวกเขา "thefakesoundofprogress" ได้ออกวางตลาดในปี 2001 ด้วยความยอดเยี่ยมของอัลบั้มนี้จึงทำให้พวกเขาคว้ารางวัลวงอังกฤษหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี 2001 จากนิตยสารยักษ์ใหญ่อย่าง เคอร์แรง![3] และกลายเป็นที่จับตามองของทุกคนตามด้วยการตระเวนทัวร์อย่างต่อเนื่องถึง 3 ปี รวมทั้งการทัวร์ร่วมกับ ลินคิน พาร์ค, แอนดรู ดับเบิลยู เค และยังเป็น 1 ในวงจากอังกฤษ เพียงไม่กี่วงที่มีโอกาสได้ขึ้นโชว์ในเทศกาลดนตรีร็อกชั้นนำอย่าง อ๊อซเสต์อีกด้วย

อัลบั้ม Start Something (2003–2004)

หลังจากเก็บเกี่ยวทั้งฝีมือและประสบการณ์จากผลงานที่ผ่านมาอย่างเต็มที่ อัลบั้มใหม่ “Start Something” ผลงานชุดที่ 2 ที่แสดงถึงความสามารถและพัฒนาการทางดนตรีอย่างเห็นได้ชัดโดยในอัลบั้มนี้ลอสท์โพรเฟ็ทส์ ได้บินไปถึงลอสแอนเจลิส เพื่อทำงานร่วมกับอีริค วาเลนไทน์ (Eric Valentine) โปรดิวเซอร์มือทองที่เคยร่วมงานกับวงดังอย่าง กู้ด ชาร์ล็อตต์ (Good Charlotte) และ ควีน ออฟ เดอะ สโตน เอจ (Queen Of The Stone Age) มาแล้ว โดยใช้เวลาในการทำงานถึง 4 เดือน ประเดิมด้วยซิงเกิลแรก “Burn Burn” เพลงร็อกมันๆ ตามด้วย “Last Train Home” ซิงเกิลที่2 ผลงานชั้นเยี่ยมในแนวเมนสตรีมร็อกที่ผสานความหนักแน่นและเมโลดี้สวยๆ ซึ่งในเพลงนี้ยังได้สมาชิกวงกู้ด ชาร์ล็อตต์มาช่วยร้องแบ็คอัพให้อีกด้วยพวกเขาได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในบ้านเกิดฝั่งอังกฤษ และข้ามไปดังถึงในอเมริกา โดยอัลบั้มนี้ทำยอดขายทั่วโลกกว่า 1.2 ล้านก๊อปปี้

อัลบั้ม Liberation Transmission (2006-2007)

วันที่ 19 มิถุนายน 2005 ไมค์ ชิปลิน มือกลองผู้ร่วมก่อตั้งวงออกได้จากวง และย้ายไปอยู่วงใหม่ ที่ชื่อ ดิ อันซัง (The Unsung) เขายังเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองสำหรับนักดนตรีหน้าใหม่ที่อยากจะก่อตั้งวงของตัวเองอีกด้วย ถึงไมค์จะออกจากวงไป แต่ลอสท์โพรเฟ็ทส์ก็ยังคงเดินหน้าผลิตผลงานต่อไป หลังกลับจากการทัวร์คอนเสิร์ต พวกเขาก็ดำเนินการอัดอัลบั้มชุดใหม่ โดยมีเด็กหนุ่มวัยเพียง 17 ปี อิแลน รูบิน มาเป็นมือกลองคนใหม่ของวง และอัลบั้มที่ 3 Liberation Transmission ก็ได้เปิดตัวที่อันดับ Top 5 ในอันดับเพลงในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นอัลบั้มที่แสดงถึงวิวัฒนาการทางดนตรีของวงที่เติบโตขึ้นมาก แนวเพลงยังคงความมันสะใจ ไม่แพ้สองอัลบั้มแรก ถึงแม้จะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าสาวกในหลายแง่ถึงแนวดนตรีที่ดูจะเบาลงจากเดิม แต่ก็ยังคงเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยอัลบั้มนี้ได้โปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง บ็อบ ร็อก (Bob Rock) (Metallica, Bon Jovi และ Motley Crue) มาช่วยโปรดิวซ์ผลงานในอัลบั้มนี้ [4]และหน้าปกอลับั้มใหม่นี้ยังนำคำพูดติดปากจากเนื้อเพลง Burn Burn ในอัลบั้มที่แล้ว (Start Something) ที่ร้องกันเป็นท่อนขึ้นชื่อของเพลงว่า (Burn Burn) "For us, for them, for you" มาแปลเป็นภาษาละตินว่า "Nobis, Pro Lemma, Vobis" ใช้เป็นคำขวัญของสัญลักษณ์ในอัลบั้มใหม่นี้อีกด้วย โดยอัลบั้มใหม่นี้ได้ส่งซิงเกิล Rooftop ออกมาเป็นผลงานแรกก่อนที่อัลบั้มจะวางแผง และในมิวสิก วิดีโอ ลอสท์โพรเฟ็ทส์ก็ได้ร่วมงานกับ โจโน ในบทนักแสดงประกอบวิดีโอและในงานประกาศผลเคอร์แรง! อวอร์ด ปี 2006 ลอสท์โพรเฟ็ทส์ก็ได้คว้ารางวัล "อัลบั้มยอดเยี่ยม" และ "วงยอดเยี่ยมแห่งราชอาณาจักรอังกฤษ" [5] เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางดนตรีของพวกเขาลอสท์โพรเฟ็ทส์จะแสดงในงานเทศกาลเพลง "ฟูล พอนตี้" ที่เวลส์ ในวันที่ 26 พฤษภาคมปีนี้ โดยร่วมแสดงกับ วงอเมริกันอย่างเทคกิง แบค ซันเดย์ และ เอเดน