ล็อกดาวน์โควิด-19

เนื่องจากการระบาดทั่วของโควิด-19 จึงมีการใช้มาตรการที่ไม่ใช้ยาจำนวนหนึ่งที่เรียกรวมกันว่า ล็อกดาวน์ (อังกฤษ: lockdown) ซึ่งประกอบด้วยคำสั่งให้อยู่ติดบ้าน เคอร์ฟิว การกักบริเวณ การตั้งเขตสุขาภิบาล (cordon sanitaires) และข้อจำกัดทางสังคมอื่นที่คล้ายกัน ในหลายประเทศและดินแดนทั่วโลก ข้อจำกัดเหล่านี้เป็นไปเพื่อลดการระบาดของ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19[1] ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2563 พบว่าประชากรราวกึ่งหนึ่งของโลกอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีประชากรกว่า 3.9 พันล้านคนในประเทศหรือดินแดนกว่า 90 แห่งได้รับคำขอร่วมมือหรือคำสั่งให้อยู่ติดบ้านจากรัฐบาล[2] แม้ว่ามาตรการล็อกดาวน์จะมีมาแล้วหลายร้อยปี แต่ไม่มีครั้งใดมีขอบเขตกว้างขวางมากเท่าครั้งนี้การวิจัยและกรณีศึกษาพบว่าล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพในการลดการระบาดของโควิด-19 เป็นการลดความชันของกราฟผู้ป่วย[3] คำแนะนำขององค์การอนามัยโลกในเรื่องเคอร์ฟิวและล็อกดาวน์ระบุว่า มาตรการดังกล่าวควรเป็นไปในช่วงสั้น ๆ เพื่อจัดระเบียบใหม่ ปรับสมดุลทรัพยากรและพักเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่แบกรับจำนวนผู้ป่วยมาก และในการรักษาสมดุลระหว่างการจำกัดและการใช้ชีวิตตามปกติ WHO แนะนำว่าการตอบสนองต่อโรคระบาดทั่วประกอบด้วยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด การติดตามการสัมผัสอย่างมีประสิทธิภาพ และการแยกตัวเมื่อป่วย[4]มาตรการที่ประเทศและดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกใช้นั้นมีความเข้มงวดแตกต่างกันไป บางแห่งห้ามเดินทางโดยสิ้นเชิง ส่วนบางแห่งห้ามเดินทางเป็นบางช่วงเวลา ในหลายกรณีจะอนุญาตให้เปิดเฉพาะธุรกิจที่มีความสำคัญขาดไม่ได้เท่านั้น สถานศึกษาถูกปิดทั่วประเทศหรือปิดในท้องถิ่นใน 63 ประเทศ ซึ่งมีผลต่อประชากรนักเรียนนักศึกษาโลกประมาณร้อยละ 47[5][6]การวางข้อจำกัดนี้มีผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการประท้วงในบางประเทศและดินแดน

ใกล้เคียง

ล็อกดาวน์โควิด-19 ล็อกฮีด มาร์ติน เอฟ-35 ไลท์นิง 2 ล็อกฮีด เอซี-130 ล็อกฮีด มาร์ติน ซี-130เจ ซูเปอร์เฮอร์คิวลิส ล็อกฮีด มาร์ติน ล็อกเนสส์ ล็อกฮีด ดีซี-130 ล็อกฮอไรซอน ล็อกซเล่ย์ ล็อนดินิอูง