ประวัติการทำงานเขียน ของ วรรณวรรธน์

เริ่มต้นมีผลงานการประพันธ์นวนิยายในช่วงปี พ.ศ. 2546 กับ สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ใช้นามปากกาว่า "วรรณวรรธน์" โดยผลงานการประพันธ์มีลักษณะเด่นในแง่มุมของการค้นคว้าข้อมูลประกอบการประพันธ์

ผลงานสร้างชื่อ คือ นวนิยาย ที่เรียกกันในหมู่นักอ่านชาวไทยว่า นิยายแนวทะเลทราย แต่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างคือ วรรณวรรธน์ ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างการเมืองในประเทศตะวันออกกลาง และ วัฒนธรรมของชาวตะวันออกกลางในการดำเนินเรื่อง ในต่ละเรื่องจะประพันธ์ออกมาในแก่นเรื่องที่แตกต่างกัน ผลงานชิ้นแรกที่ตีพิมพ์คือ อัสวัด ราชันย์แห่งความมืด เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองในประเทศของตะวันออกกลาง ที่มีพื้นฐานมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศตะวันออกกลาง[2] เรื่องที่สอง ที่ได้รับการตีพิมพ์ คือ เส้นทรายสีเงา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน อัสวัด ราชันย์แห่งความมืด 7 ปี ซึ่งเนื้อหาของเรืองจะเน้นไปที่การก่อเหตุก่อการร้ายในประเทศแถบตะวันออกกลาง เรื่องที่สาม ทรายล้อมตะวัน เป็นนิยายที่อธิบายถึงความเชื่อ และชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย โดยมีแหล่งทรัพยากรอันมีค่าสิ่งเดียวคือ "น้ำมัน" เรื่องที่สี่ ทรายนี้ยังมีรัก นิยายเชิงอิงประวัติศาสตร์ของอารยธรรมตะวันออกของโลกโบราณมาจนถึงปัจจุบัน เล่าถึงอดีตในสมัย เมโสโปเตเมีย และ เปอร์เซีย รวมถึงชีวิตในปัจจุบัน โดยแบ่งโครงเรื่องออกเป็น 4 โครงหลัก ตัวละครแต่ละตัวดำเนินเหตุการณ์ไปใน "แต่ละชีวิต" ของตน จนเกิดปัญหาและมีการคลี่คลายได้ ในชีวิตปัจจุบัน พัวพันเรื่องราวอยู่กับความเชื่อและการแสวงหาทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่สุดของมนุษยโลก และตำนานปรัมปรา ของนกฟีนิกซ์ สฟิงค์ และตำนานมหากาพย์เรื่องกิลกาเมซ

ในนามปากกา วรรณวรรธน์ ยังมีผลงานการประพันธ์นวนิยายแนวอื่น เช่น โรแมนติคพาฝัน คือ บัลลังก์สายหมอก' และ นิยายแนวตื่นเต้นสยองขวัญ ใช้โหราศาสตร์เป็นตัวเดินเรื่อง คือ ฤกษ์สังหาร

นอกจากนี้ยังมีนิยายอิงประวัติศาสตร์ย้อนยุค คือเรื่อง จันทราอุษาคเนย์ นิยายอิงประวัติศาสตร์เชิงย้อนอดีตแถบเอเชียอาคเนย์ประมาณปีพุทธศตวรรษที่ 12 โครงเรื่องที่ว่า ตมิสา สาวน้อยหลงยุคไปพบกับเจ้าชายในอดีตผู้เกรียงไกรในแถบลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำมูลในสมัยที่ กรุงเทพมหานครยังจมอยู่ใต้ท้องทะเล การประพันธ์ที่ใช้เวลารวบรวมข้อมูลนานร่วม 23 ปี และใช้ข้อมูลประเภทปฐมภูมิในการประพันธ์ คือ หลักศิลาจารึกของพระเจ้าศรีมเหนทรวรมันที่ปรากฏในประเทศไทย ทำให้เรื่องราว น่าสนใจ และ น่าเชื่อถือ และจุดประกายให้ผู้สนใจ มีการวิจัย ศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เจ้าชายจิตรเสน หรือพระเจ้ามเหนทรวรมัน และ พระเจ้าภววรมัน ในอาณาจักรเจนละ(เจนฬา หรือ เจิ้นละ) และลุ่มแม่น้ำ โขง ช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 ตลอดจนศึกษาเห็นความสัมพันธ์ในประวัติศาสตร์ของผู้คนในแถบสุวรรณภูมิ มากยิ่งขึ้น

และนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง ข้าบดินทร์ ซึ่งใช้ฉากจากเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 มาร้อยเรียงเรื่องราว ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างสนุกสนาน และสร้างความสนใจให้แก่ผู้อ่านได้มากขึ้น เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาดังกล่าว และในเรื่องนี้ ได้อธิบายและคงรักษาเรื่อง คชศาสตร์ ของไทย ไว้ เพื่อเก็บรักษาวิชาว่าด้วย ช้าง ในการฝึกและดูแล อันเป็นศิลปศาสตร์ของไทยที่จวนจะสูญหายให้กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง นิยายเรื่องดังกล่าวได้รับการยอมรับและบรรจุให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของโรงเรียนในเขตเทศบาลจังหวัดสมุทรปราการ [3] หนึ่งด้าวฟ้าเดียว นิยายอิงประวัติศาสตร์ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับจารบุรุษที่ปลอมตัวเป็นขันทีในราชสำนักอยุธยา ก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง และการกอบกู้เอกราชของพระเจ้าตากสินมหาราช

นิยายแนวจิตวิญญาณเหนือธรรมชาติ ในชุด อขิทโร จำนวน 4 ตอน คือ อขิทโร ลูกปัดมนตรา ,อขิทโร ลูกปัดสิเน่หา , อขิทโร อุบัติ มหาคุรุเทวา และ อขิทโร มหาคุรุเทวา ปรัยวสาน เล่ม 1 และ เล่ม 2 เป็นนวนิยายที่เริ่มต้นการประพันธ์มาจากเรื่องของลูกปัดโบราณในประเทศไทย และ การค้นพบลูกปัดคาร์เนเลี่ยน ที่มีจารึกอักษรพราหมี ว่า "อขิทโร" ในภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า ไม่อ่อนแอ อดทน

นอกจากนี้ยังมีแนวนิยายร่วมสมัย ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ และ ขอเป็นนางเอกสักครั้งให้ชื่นใจ