ประวัติ ของ วังเจ้าเขมร

เจ้านายของกัมพูชาเข้ามาพำนักในดินแดนสยามมีมาตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาแล้ว กระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเจ้านายเขมรย้ายเข้ากรุงเทพมหานครหลังเกิดความขัดแย้งภายในราชสำนัก เจ้านายที่อพยพมาในคราวนั้นคือ สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชุบเลี้ยงนักองค์เอง ส่วนนักองค์อีและนักองค์เภา เข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท[5] และได้พระราชทานที่ดินสำหรับสร้างวังเจ้าเขมร ณ ตำบลคอกควาย หรือคอกกระบือ (ปัจจุบันคือแขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร) เมื่อราว พ.ศ. 2321[6] หรือ พ.ศ. 2325[7] ต่อมาโปรดให้รื้อพระตำหนักที่ตำบลคอกกระบือใน พ.ศ. 2335[8] ไปสร้างวังเจ้าเขมรขึ้นใหม่บริเวณปากคลองหลอดวัดราชนัดดาบนเกาะรัตนโกสินทร์ ตรงข้ามทางทิศใต้ของวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2329[9]

หลังสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ หรือนักองค์เอง และสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี หรือนักองค์จัน กลับไปครองกรุงกัมพูชา ก็พาครอบครัวบางพระองค์กลับไปด้วย แต่ก็ยังเสด็จกลับมาประทับที่กรุงเทพมหานครเพื่อทรงเยี่ยมพระญาติวงศ์ที่ยังรับราชการอยู่ในราชสำนักสยามเป็นระยะ[10] รวมทั้งส่งพระราชโอรสมาเล่าเรียนที่กรุงเทพมหานครตามพระราชธรรมเนียม เช่น พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ รวมทั้งพระองค์เจ้าวัตถา[3] พระมหากษัตริย์สยามเองก็ให้การอุปการะอย่างพระราชบุตรบุญธรรม[11] ภายในวังเจ้าเขมรจะมีครูสอนภาษาเขมรและไทย[2] แต่พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารที่เคยประทับในวังนี้ "...ตรัสแต่ภาษาไทย ถึงกล่าวกันว่าตรัสเขมรมิใคร่คล่อง"[12]

ในเวลาต่อมาหลังกัมพูชาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส วังเจ้าเขมรก็โรยราลง คงหลงเหลือเจ้านายเขมรอยู่ไม่มาก หนึ่งในนั้นคือ พระอินทเบญญา (สะราคำ วัตถา) หรือนักสะราคำ พระนัดดาของพระองค์เจ้าวัตถา เป็นต้นสกุลวัตถา ซึ่งรับราชการอยู่ในประเทศไทยจนสิ้นชีวิต[13]