สารานุกรมออนไลน์ | Siam Wiki
ไม่เจอคำค้นที่ต้องการ
หน้าแรก
วัดตายม
หน้าแรก
วัดตายม
วัดตายม
เป็นวัดประจำตำบล และชื่อ " วัดตายม " ยังเป็นชื่อเรียกของ
ตำบลวัดตายม
ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ปัจจุบันวัดตายมตั้งอยู่เลขที่ 83 หมู่ที่ 1 ตำบลวัดตายม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก เป็นที่ประดิษฐานขององค์ "
หลวงพ่อยม
" หลวงพ่อยม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองชาวบ้านวัดตายมและชาวพิษณุโลก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ ปางมารวิชัย มีพุธลักษณะที่งดงาม ศิลปะสมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าสร้างก่อนรัฐชสมัย
พระมหาธรรมราชา (ลิไท) หรือสร้างราวปีพุทธศักราช ๑๗๘๗ กรมศิลปากรตรวจสอบและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติแล้ว ยืนยันอายุขององค์หลวงพ่อยมไม่ต่ำกว่า750 ปี หรือสร้างก่อนพระพุธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก (ชาวบ้านสมัยก่อนเชื่อว่า หลวงพ่อยมสร้างก่อนหลวงพ่อพระพุทธชินราช หลวงพ่อยมจึงเป็นพี่ของหลวงพ่อพระพุทธชินราช ) นอกจากหลวงพ่อยมแล้ว เบื้องหน้าขององค์หลวงพ่อยมยังมีสาวกประดิษฐานอยู่ด้วย 3องค์ ปางมารวิชัย สร้างในสมัยเดียวกัน
ในอดีตเชื่อว่า
บริเวณตำบลวัดตายม
เป็นเมืองสองแควเดิม
มีอาณาบริเวณกินพื้นที่นับพันไร่ มีตัวเมืองอยู่ที่บริเวณบ้าน
คลองละคร
( ปัจจุบันตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลวัดตายม อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ) เดิมเป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ มีคูเมือง มีกำแพงเมืองล้อมรอบ ภายในมีพระปรางค์ขนาดใหญ่ มีพระอุโบสถ วิหาร เจดีย์ พระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระพิมพ์ เครื่องถ้วยชาม ลูกปัด ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย และยังมีวัดที่ตั้งเรียงรายอยู่ภายนอกเมืองอีกมากมาย เช่น
วัดมหาธาตุ
พบเจดีย์ธาตุขนาดใหญ่ ที่บ้านแหลมพระธาตุ ( ปัจจุบันยังมีซากเจดีย์หลงเหลืออยู่ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น " วัดแหลมพระธาตุ " )
วัดสระเศรษฐี
ที่บ้านทุ่งเศรษฐี ,
วัดสายสมัน
( พบพระยืนขนาดใหญ่ ปัจจุบันถูกทำลายหมดแล้วเมื่อประมาณ พศ.2520 )
วัดตายม
( พบองค์หลวงพ่อยม ซากเจดีย์ ซากวิหารต่างๆ มากมาย ) ซึ่งทุกที่ดังกล่าวล้วนแต่มีร่องรอยการขุดหาของโบราณ ของมีค่าต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่วทุกบริเวณ จนแทบจะไม่เลือซากโบราณวัตถุอันล้ำค่าดังเดิม
***ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า........ ในอดีตบริเวณวัดตายมคือเมืองสองแคว(เดิม)
ก่อนที่จะย้ายไปตั้งที่ริมแม่น้ำน่าน ( สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนเก่าแก่แถววัดจุฬามณีเดิม ) และเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองพิษณุโลกในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำสายใหญ่เปลี่ยนกระแสทิศทางการไหล ชาวเมืองจึงขาดแคลนอาหาร รวมทั้งการสัญจรทางน้ำไม่สะดวกเหมือนเก่า ใม่เหมาะที่จะเป็นชัยภูมิในการตั้งเมืองให้ปลอกภัยจากศัตรู
" เจ้าเมือง "
จึงทำการเสี่ยงทายเพื่อหาทำเลที่ตั้งเมืองใหม่ โดยการบวงสรวงเทพยดา แล้วทำการเสี่ยงทาย โดยปล่อยโคหนึ่งคู่ อธิษฐานว่า
" หากโคคู่นี้เอาเขาไปขวิดลงดิน ณ ที่ใด แสดงว่าดินที่นั้นอุดมสมบูรณ์ ให้สร้างเมืองใหม่ ณ ที่แห่งนั้น "
ปรากฏว่าโคที่ไล่ต้อนขึ้นไปทางทิศเหนือนั้น เอาเขาขวิดดิน ณ ที่แห่งใหม่ห่างจากตัวเมืองเก่าประมาณ ๔๐ กิโลเมตร จึงย้ายเมืองใหม่ แต่ให้คงชื่อเดิมว่า
" เมืองสองแคว "
( เมืองพิษณุโลกปัจจุบัน ) เมืองสองแควเก่าจึงถูกทิ้งล้างนับแต่นั้นมา
สืบมาอีกหลายชั่วอายุ มีชาวบ้านอพยพมาอยู่อาศัยบริเวณเมืองร้างแห่งนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการอพยพของชาวบ้านจาก
" เมืองบางยาง "
( เมืองเก่าในอำเภอนครไท จังหวัดพิษณุโลก ในปัจจุบัน ) โดยการนำของ
นายยม
ได้เข้ามาถากถางและจุดไฟเผาป่าที่รกทึบจนโล่งเตียนไปทั่วบริเวณ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไฟไม่สามารถลุกลามเข้าไปใกล้ได้ นายยมจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงามประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ไม่มีหลังคาปกปิด เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก นายยมจึงได้ริเรื่มชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ โดยนำไม้มาทำโครงหลังคาแล้วมุงด้วยแฝกกันแดดกันฝนให้องค์หลวงพ่อ
หลังจากนั้นเรื่อยมา
ก็มีพระภิษุเดินทางมาพำนักขณะออกธุดงค์ จนกลายเป็นที่พำนักสงฆ์ตลอดมา ชื่อของ
" หลวงพ่อยม "
นั้น ก็เรียกตามชื่อของ
นายยม
หรือ
ตายม
ผู้ที่พบองค์หลวงพ่อและเป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์นั่นเอง จนเป็นที่เคารพศรัทธา และเมื่อมีประชาชนมาอาศัยอยู่มากขึ้น ประชาชนจึงพร้อมใจกันสร้างวิหารที่ทำด้วยไม้ หลังคามุงด้วยสังกระสี แล้วบูรณปฏิสังขรณ์มาโดยตลอด ด้วยความเก่าแก่และความศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล เดินทางมาสักการบูชา รวมทั้งบนบาลศาลกล่าวแทบทุกวันมิได้ขาด จึงเป็นเหตุแห่งความเจริญเรื่อยมา ปัจจุบัน
" วิหารหลวงพ่อยม "
ก่อด้วยอิฐถือปูนหลังคาทรงไทยมุงด้วยกระเบื้อง หน้าบันประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยลวดรายปูนปั้นและแบบติดพิมพ์ ภายในมีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ
( เมื่อประมาณ พ.ศ. 2510 มีชาวบ้านเข้ามาอาศัยมากขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นวัตถุโบราณกำลังเป็นที่ต้องการของกลุ่มพ่อค้านายทุน จึงมีนักขุดหาสมบัติมากมาย ได้เข้ามาขุดค้นหาของมีค่า บรรดาโบราณสถานต่าง ๆ จึงถูกทำลายลง มีผู้เล่าว่าในเมืองโบราณนั้นมีพระพุทธรูปมากมายที่จมดินอยู่ บ้างก็โผล่ระดับพระอุระ บ้างก็โผล่แค่พระเกศ มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ถ้วยชาม ลูกปัด ของใช้ และพระพิมพ์ต่าง ๆ บรรดาเจดีย์ ซากวิหาร พระปรางค์ พระพุทธรูปต่างๆ รวมทั่งโบราณสถานต่างๆจึงถูกทุบทำลายแทบหมดสิ้น บรรดาของมีค่าถูกขายให้นายทุนและถูกเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว )
ไม่เว้นแม้แต่ " องค์หลวงพ่อยม " ที่มีคนเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง เพราะหวังที่จะหาของมีค่าภายในองค์หลวงพ่อ แต่คนที่คิดทำลายก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย เช่น มีคนประมาณ 4-5คน ลอบเข้าไปตัดเศียรหลวงพ่อยม แต่แล้วก็ไปไหนไม่ได้ คนร้ายเดินวนเวียน เดินแบกเศียรหลวงพ่ออยู่บริเวณวัดจนเช้า ซึ่งก็เป็นคนในหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลวัดนัก หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกโจรก็ฆ่าลูกฆ่าเมียฆ่าพวกโจรด้วยกันเองตายจนหมดสิ้น และยังมีอีกกรณีหนึ่งโจรลักรอบเข้าไปตัดเศียรสาวกองค์ซ้ายสุดด้านหน้าหลวงพ่อยมด้วย แต่โจรก็ไปไหนไม่ได้ไกล โจรนำเศียรไปทิ้งไว้ห้างนาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดนัก และชีวิตก็มีอันเป็นไป กรมศิลปากรก็ได้นำเศียรกลับมาต่อให้คงสภาพเดิมไว้ทุกประการ จากนั้นมาชาวบ้านก็ได้ช่วยกันสอดส่องดูแลมาโดยตลอดแล้วยังได้ปิดช่องด้านหลังตรงแท่นบัวขององค์หลวงพ่อยมเสีย เพราะชาวบ้านเชื่อว่ามีสมบัติมากมายถูกเก็บรักษาไว้ภานในนั้น
( เนื่องจากมีคนเคยกลิ้งลูกมะกูดหรือลูกมะนาวเข้าไปภายในช่องนั้น จะได้ยินเสียงดังกังวานเป็นทางยาว เมื่อถึงพื้นจะได้ยินเสียงกระทบดังกลาวคล้ายเสียงสมบัติของมีค่าต่างๆอยู่ภานในมากมาย )
นอกจากนั้นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งยังได้ช่วยกันขนซากอิฐ ซากกำแพงจากเมืองเก่ามาสร้างเจดีย์ไว้สามองค์ด้วยกัน อยู่ด้านหน้าวิหารองค์หลวงพ่อยม แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียงสององค์เท่านั้น
ในปีพุทธศักราช 2495
ชาวบ้านวัดตายมได้จัดสร้างพระอุโบสถขึ้น แล้วผูกพัทธสีมาปิดทองผังลูกนิมิต
วัดจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดที่ถูกต้องสมบูรณ์กับ มหาเถระสมาคม กรมการศาสนา เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐
ลักษณะของพระอุโบสถหลังนี้มีความเก่าแก่ คือ โครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้ ผนังกำแพงก่ออิฐถือปูน พระประทานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ แย้มพระศวรสวยงามมาก มีนามว่า
" หลวงพ่อยิ้ม "
หน้าบันเป็นลวดลายปูนปั้นเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ " มารผจน " หน้าทางเข้าทั้งสองด้านมีรูปปั้นสิงโตลอยตัว ศิลปะแบบจีน ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรมไปมากและได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ขึ้นทดแทน แล้วเสร็จทำการปิดทองฝังลูกนิมิตเมื่อ พศ.2551 และยังได้นำ
" หลวงพ่อเย็น "
พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ที่อดีตเคยเป็นพระประทานบนศาลาการเปรียญหลายสิบปี มาประดิษฐานด้านหน้าพระอุโบสถหลังใหม่ด้วย
......จากอดีตถึงปัจจุบัน......
ยังมีประเพณีที่สืบทอดกันมาและยังคงอยู่ตราบทุกวันนี้คือ ''''
" งานนมัสการปิดทองหลวงพ่อยม "''''
ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันเพ็ญเดือน 3 ขึ้น 14-15 ค่ำ เป็นที่ทราบกันโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวกันล่วงหน้า ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลต่างถิ่นฐานเมื่อถึงวันงานแทบทุกคนก็จะกลับมาร่วมงานกันอย่างเนืองแน่น ผู้คนที่หลั่งไหลมานมัสการปิดทององค์หลวงพ่อยมเต็มพระวิหาร ยิ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก ในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย รวมทั้งยังมีการอุปสมบทนาคหมู่ทุกปีด้วย มีผู้คนเลื่อมใสศรัทธามาอุปสมบทในแต่ละปีหลายสิบองค์ ยิ่งสร้างแรงศรัทธาให้ผู้ที่พบเห็นตลอดมา
......( ไกรสร อ่ำสิงห์ วท.บ.ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต : ผู้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีบ้านวัดตายม (บ้านเกิด) ) โทร. 086-7385509
.....จะนำรูปและข้อมูลอ้างอิงมาลงใหม่ภายหลัง
เมนูนำทาง
วัดตายม
ใกล้เคียง
วัดตายม
แหล่งที่มา
WikiPedia: วัดตายม
×