ภาพรวม ของ วิทยาศาสตร์เทียม

กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

ผังภาพสมองตามแบบศตวรรษที่ 19: ในช่วงทศวรรษที่ 1820 phrenologists อธิบายว่าจิตใจอยู่ภายในพื้นที่ต่าง ๆ ของสมอง และถูกโจมตีด้วยข้อกังขาว่าจิตใจมาจากจิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับสสาร แนวคิดการอ่านรอยนูนในกะโหลกเพื่อทำนายลักษณะบุคลิคภาพได้ถูกดิสเครดิตลงในภายหลัง [10] ฟรีโนโลยี (Phrenology) ถูกเรียกว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียมครั้งแรกในปี ค.ศ. 1843 และยังคงถือเป็นวิทยาศาสตร์เทียมนับแต่นั้นมา [11]

แม้มาตรฐานวิธีการเรียนรู้ วิจัย และปฏิบัติจะต่างออกไปในวิทยาศาสตร์แต่ละแขนง แต่ก็จะมีหลักการที่เป็นพื้นฐานที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงวิทยาศาสตร์ อันได้แก่ ผลการทดลอง ต้องทำซ้ำได้ ตรวจสอบโดยผู้อื่นได้ [12] หลักการข้างต้นมีไว้เพื่อให้การทดลองสามารถตรวจวัด ทำซ้ำได้ภายใต้สภาพแวดล้อมเดิม ทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่า สมมุติฐาน และ ทฤษฏี ที่เกี่ยวข้องกับ ปรากฏการณ์ นั้นมีความถูกต้อง และน่าเชื่อถือเพียงใด มาตรฐานกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะต้องถูกนำใช้ตลอดกระบวนการ และต้องมีการกำจัด หรือควบคุมความเป็นไปได้ที่จะเกิดอคติผ่านกระบวนการสุ่มกระจาย การทำ Blind Test ข้อมูลที่รวบรวมขึ้นมา รวมถึงผลการทดลอง และบันทึกสภาพแวดล้อมจะต้องมีการบันทึกไว้เพื่อการทบทวนตรวจสอบ ทำให้สามารถจำลองการทดลองหรือการศึกษาซ้ำ เพื่อยืนยันหรือแย้งผลการทดลองได้ ปริมาณทางสถิติที่ใช้บ่งชี้นัยสำคัญของ ความมั่นใจ และความเบี่ยงเบน [13] จัดเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกอันหนึ่งในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

การพิสูจน์ความเป็นเท็จได้

การพิสูจน์ความเป็นเท็จได้ (อังกฤษ: falsifiability) ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 คาร์ล ป๊อปเปอร์ (Karl Popper) ได้นำเสนอหลัก การพิสูจน์ความเป็นเท็จได้ ไว้แบ่งแยก วิทยาศาสตร์ ออกจากสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ (nonscience) [14] การพิสูจน์ความเป็นเท็จได้ หมายถึง ผลลัพธ์ สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ ตัวอย่างเช่น “พระเจ้าสร้างจักรวาล” อาจเป็นจริงหรือเท็จ แต่ไม่มีวิธีการใด ๆ ที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นจริงหรือเท็จได้เลย มันจึงอยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ ป๊อปเปอร์ใช้ โหราศาสตร์ กับ จิตวิเคราะห์ เป็นตัวอย่างของ วิทยาศาสตร์เทียม และใช้ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เป็นตัวอย่างของวิทยาศาสตร์ เขายังได้แบ่งกลุ่มองค์ความรู้ที่ มิใช่วิทยาศาสตร์ ออกเป็น คณิตศาสตร์ เทพปกรณัม ศาสนา และ/หรือ อภิปรัชญา ส่วนอีกด้านของความรู้ที่มิใช่วิทยาศาสตร์ก็คือ วิทยาศาสตร์เทียม แต่ทั้งนี้ เขามิได้บ่งชี้ข้อต่างชี้ชัดของสองส่วนดังกล่าว [15]

บรรทัดฐานของเมอร์ตัน

ปี ค.ศ. 1942 โรเบิร์ต เมอร์ตัน (Robert K. Merton) ได้จัดตั้งบรรทัดฐานที่เป็นลักษณะร่วมของวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เรียกว่า บรรทัดฐานของเมอรตัน (อังกฤษ: Mertonian norms) ถ้ามีบรรทัดฐานใดที่ถูกละเมิด ก็จะถูกแยกออกไปเป็นสิ่งที่ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ บรรทัดฐานของเมอร์ตัน มีดังต่อไปนี้[16]

  • คิดริเริ่ม: การทดสอบและวิจัยจะต้องนำเสนอสิ่ง ที่ใหม่ ต่อวงการวิทยาศาสตร์
  • ไม่ยึดติด: วิทยาศาสตร์ค้นหาเพื่อขยายวงความรู้ นักวิทยาศาสตร์ต้องไม่เอาเหตุผลส่วนตัวมาเป็นอคติกำหนดผลลัพธ์ให้ออกมาตามต้องการของตน
  • เป็นสากล: ทุกคนควรสามารถเข้าถึงข้อมูลการวิจัยได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่เกิดสภาพแบ่งแยกจาก ชนชั้น ศาสนา ชาติพันธุ์ หรือมีเหตุ ปัจจัยจำเพาะส่วนบุคคลใด ๆ ที่จะมีสิทธิ์จะได้รับหรือแสดงศาสตร์นั้น ๆ ต่อเขา
  • ตั้งแง่สงสัย: ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ต้องไม่ตั้งอยู่บนเพียงแค่ฐานความศรัทธา ทุกคนควรตั้งคำถามต่อทุกกรณี และทุกข้อโต้แย้ง และตรวจสอบความถูกต้องหรือเบี่ยงเบนต่อข้อกล่าวอ้างใด ๆ อยู่ตลอดเวลา
  • สังคมเข้าถึงได้: ทุกคนต้องเข้าถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ ผลงานวิจัยจะต้องเปิดเผยแพร่ต่อวงสังคมวิทยาศาสตร์

การปฏิเสธที่จะยอมรับปัญหา

ปี ค.ศ. 1978 พอล ทาการ์ด (Paul Thagard) นำเสนอข้อบ่งชี้เบื้องต้นของวิทยาศาสตร์เทียม ที่แยกออกจากวิทยาศาสตร์ได้ถ้าความก้าวหน้าของมันน้อยกว่าทฤษฎีอื่น ๆ เป็นระยะเวลานาน และผู้สนับสนุนทฤษฎีนั้นมิได้รับรู้หรือยอมรับปัญหาของตัวทฤษฎี [17] ในปี ค.ศ. 1983 มาริโอ บันจ์ (Mario Bunge) เสนอแนะจำแนกหมวดหมู่ระหว่าง “วงความเชื่อ” และ “วงการวิจัย” เพื่อแยก วิทยาศาสตร์เทียม กับ วิทยาศาสตร์ออกจากกัน โดยส่วนแรก หลัก ๆ เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล และส่วนหลังเกี่ยวข้องกับกระบวนการเข้าถึงอย่างเป็นระบบ [18]

ข้อโต้แย้งของศัพท์เรียกวิทยาศาสตร์เทียม

นักปรัชญาวิทยาศาสตร์ เช่น พอล ฟายเออราเบนด์ (Paul Feyerabend) โต้แย้งว่า การแบ่งแยกระหว่างวิทยาศาสตร์ กับ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทั้งสิ่งที่เป็นไปได้และสมควรให้เป็นไป [19][20] การแบ่งแยกนี้ทำให้การพัฒนาทฤษฏีและกระบวนการใหม่ทำได้ยากและล่าช้าเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา [21] นอกจากนั้น มาตรฐานจำเพาะที่สามารถใช้ได้ในวงวิทยาศาสตร์หนึ่งอาจไม่สามารถนำใช้ได้ในวงของอีกศาสตร์ลาร์รี่ ลูว์แดน (Larry Laudan) เสนอว่า คำว่า วิทยาศาสตร์เทียม ไม่มีความหมายในเชิงวิทยาศาสตร และถูกใช้ในการแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ ถ้าเรายืนอยู่ข้างเดียวกับด้านเหตุผล เราควรทิ้งศัพท์ที่ว่า วิทยาศาสตร์เทียม และ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ออกจากพจนานุกรมของเรา มันเป็นประโยคอันว่างเปล่าที่ทำได้แค่แสดงอารมณ์ของเราเท่านั้น [22] เช่นเดียวกับที่ ริชาร์ด แมคนาลี่ (Richard McNally) บ่งชี้ไว้ว่า “คำว่า วิทยาศาสตร์เทียม กลายเป็นแค่ตัวเลือกคำที่แสดงความชิงชังเพื่อจะจิกกัดคู่แข่ง” และ “ถ้ามีคนที่แสดงการบำบัดรักษาโรคแบบใหม่กล่าวอ้างอะไรในสิ่งที่เขากำลังร่วมรักษา เราไม่ควรเสียเวลาที่จะต้องคิดว่าการรักษาของเขาเป็นวิทยาศาสตร์เทียมหรือไม่ เราควรถามเขาว่า แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าการรักษาของคุณได้ผล คุณมีหลักฐานอะไรมานำเสนอบ้าง? [23]

ใกล้เคียง

วิทยา วิทยาศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออก วิทยาการหุ่นยนต์ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

แหล่งที่มา

WikiPedia: วิทยาศาสตร์เทียม http://books.google.com/books?id=iVkugqNG9dAC http://books.google.com/books?id=iVkugqNG9dAC&pg=P... http://oed.com/search?searchType=dictionary&q=pseu... http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sect... http://plato.stanford.edu/entries/pseudo-science/#... http://plato.stanford.edu/entries/pseudo-science/#... http://physics.uark.edu/hobson/pubs/00.12.JCST.pdf http://philosophyfaculty.ucsd.edu/faculty/rarneson... //lccn.loc.gov/2002022271 http://www.nsf.gov/statistics/seind02/c7/c7s5.htm