วิสุทธิ์_วานิชบุตร

วิสุทธิ์ วานิชบุตร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ผู้การวิสุทธิ์[1] เป็นอดีตข้าราชการตำรวจชาวไทย โดยเป็นรองผบช.สำนักงานกฎหมายและคดี อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดอ่างทองเกิดเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2498 จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน รุ่นพิเศษรุ่นที่ 9 เมื่อปี พ.ศ. 2521 และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี พ.ศ. 2551 และรางวัลคนดีศรีราม ในปี พ.ศ. 2550เริ่มรับราชการตำรวจครั้งแรก ดำรงตำแหน่งประจำแผนกกฎหมาย กองวิชาการกรมตำรวจ จากนั้นขึ้นเป็นนายเวร ผบก.วช., สว.แผนก 7 กองปราบปราม, รองผู้กำกับการกองทะเบียน, ผู้กำกับการ 3 ศสก., ผู้กำกับการกำลังพล บชก.รองผบก.ตำรวจท่องเที่ยว, รองผู้กำกับการทางหลวง, รองผู้กำกับการกองทะเบียนกรมตำรวจ, รองผู้กำกับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ปดส.), ผู้กำกับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้กำกับการวิทยาการ 2 จังหวัดนครราชสีมา, ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี, ผู้กำกับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กเยาวชนและสตรี (ปดส.), ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดอ่างทอง และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ในปัจจุบันพล.ต.ต.วิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดีของสังคมจากการเป็นนายตำรวจที่ทำงานด้านปราบปรามการกระทำผิดต่อสังคมและสินค้าที่ละเมิดลิขสิทธิทางปัญญาหลายอย่าง เช่น การบุกจับร้านอาหารที่ขายเนื้อปลาปักเป้าปะปนมากับปลาชนิดอื่น หรือการบุกจับวีซีดีภาพยนตร์ลามก โดยเฉพาะเรื่องที่นำแสดงโดย เกศริน ชัยเฉลิมพล หรือ น้องแนท จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "มือปราบปลาปักเป้า" และ "มือปราบน้องแนท" จนได้รับรางวัลการปราบปรามทรัพยสินทางปัญญาจาก MPA ZMOTION PICTURE ASSOCIATION จากประเทศสหรัฐอเมริกา[2]นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นที่รู้จักกันดีจากการมักเป็นผู้จัดการแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาคดีอาญาต่าง ๆ ด้วยวิธีการประณามเช่น ให้ผู้ต้องหาคาบถุงยาบ้า, เลี้ยงข้าวผู้ต้องหาคดียาเสพย์ติด โดยขึ้นชื่อผู้ต้องหาพร้อมกับคำว่า "เดนมนุษย์" หรือ "อมนุษย์" หรือการทำระบบเก้าอี้ไฟฟ้าจำลองลานประหารชีวิตนักโทษจำลอง ที่มีอุปกรณ์เสมือนจริงครบครัน เพื่อเอาไว้ใช้ในการแถลงข่าวจับกุมผู้จำหน่ายยาบ้าในครั้งต่อไป เป็นต้น ซึ่งในเรื่องนี้ได้กลายเป็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เจ้าตัวยืนยันถึงการกระทำนี้ของตัวว่าจะทำต่อไป[3] รวมถึงการมีบุคคลิกที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงระบบโครงสร้างของตำรวจไทยอย่างตรงไปตรงมาอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าตำรวจไทยอยู่ภายใต้การครอบงำของนักการเมือง และปัญหาซีดีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ที่ปราบไม่ได้ เพราะมีการจ่ายส่วย เป็นต้น[4]ในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 พล.ต.ต.วิสุทธิ์ได้จัดแถลงข่าวที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ ถึงเรื่องการโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการ (รองผบช.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) ประจำปี ซึ่งเพิ่งมีการพิจารณาแต่งตั้งไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ซึ่งตัว พล.ต.ต.วิสุทธิ์ได้ถูกคำสั่งย้ายไปประจำตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (รองผบช.กมค.) โดยกล่าวว่าตนถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะถูกนักการเมืองระดับชาติที่มีฐานเสียงในภาคใต้ผู้หนึ่งสั่งการ เพราะตนเคยจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายหลายคดีและนักการเมืองผู้นี้มาขอไว้ แต่ตนไม่ยินยอม และยังวิจารณ์ถึงเรื่องอื่น ๆ อาทิ การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลและยังตำหนิและท้าทาย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างรุนแรงอีกด้วย[5]พล.ต.ต.วิสุทธิ์ ได้ลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 เพื่อมาร่วมชุมนุมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยให้เหตุผลว่าสุดทนแล้วกับระบอบตำรวจในรัฐบาลชุดนี้[6]ต่อมาในปี 2558 ได้ถูกพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วยื่นฟ้อง และถูกศาลฎีกาจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ในคดีรุกที่เขื่อนลำตะคอง[7]ต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ถอด พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ออกจากยศตำรวจตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558 และให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์[8]ชีวิตส่วนตัว สมรสกับนางคนิล วานิชบุตร ซึ่งปัจจุบันทำงานตำแหน่งหัวหน้าแอร์โฮสเตสอยู่บริษัทการบินไทย โดยที่ไม่มีบุตรด้วยกัน