เมนูนำทาง
ศาลชั้นต้น_(ประเทศไทย) ประวัติในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้หั้น ไพร่ฟ้าหน้าปก กลางบ้านกลางเมือง มีถ้อยมีความ เจ็บท้องข้องใจ มันจักกล่าวถึงเจ้าถึงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกระดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยินเรียก เมื่อถามสวนความแก่มันด้วยซื่อ— ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1
ในสมัยสุโขทัย จากข้อความบนหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแสดงให้เห็นว่าประชาชนสามารถร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ไต่สวนพิจารณาคดีด้วยพระองค์เอง ยังไม่มีการตั้งองค์กรที่มีลักษณะเป็นศาลขึ้นมาตัดสินคดีโดยตรง
เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)ทรงได้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรับปรุงระบอบการปกครองในส่วนกลางเสียใหม่โดยมีกษัตริย์เป็นศูนย์กลาง และมีเสนาบดี 4 ฝ่ายคือ ขุนเมือง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา เรียกว่า "จตุสดมภ์"[2] โดยให้เสนาบดีกรมวังเป็นผู้ชำระความแทนพระมหากษัตริย์ กรมวังจึงมีหน้าที่ดูแลศาลหลวง และการแต่งตั้งยกกระบัตรไปทำหน้าที่ดูและความยุติธรรมหรือเป็นหัวหน้าศาลในหัวเมือง
วิธีการพิจารณาและพิพากษาคดีในประเทศสยามตามแบบครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ยังใช้ต่อมาในกรุงรัตนโกสินทร์จนกระทั่งตั้งกระทรวงยุติธรรมในรัชกาล ที่ ๕ เป็นวิธีแปลกที่เอาแบบอินเดียมาประสมกับแบบไทย ด้วยความฉลาดอันพึงเห็นได้ในเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่งจึงเป็นประเพณีที่ไม่มีเหมือนในประเทศอื่น คือใช้บุคคล ๒ จำพวกเป็นพนักงานตุลาการ จำพวกหนึ่งเป็นพราหมณ์ชาวต่างประเทศซึ่งเชี่ยวชาญทางนิติศาสตร์ เรียกว่า ลูกขุน ณ ศาลหลวง มี ๑๒ คน หัวหน้าเป็นพระมหาราชครูปุโรหิตคน ๑ พระมหาราชครูมหิธรคน ๑ ถือศักดินาเท่าเจ้าพระยา หน้าที่ของลูกขุน ณ ศาลหลวงสำหรับชี้บทกฎหมายแต่จะบังคับบัญชาอย่างใดไม่ได้ อำนาจการบังคับบัญชาทุกอย่างอยู่กับเจ้าพนักงานที่เป็นไทย...— สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ[3]
ต่อมา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีการปรับปรุงระบบการปกครองขึ้นอีกครั้งหนึ่งมีการจัดตั้งกรมขึ้นสองกรม ได้แก่ กรมมหาดไทย ซึ่งดูแลกิจการพลเรือน โดยมีสมุหนายกเป็นอัครเสนาบดีดูแล และกรมกลาโหม ซึ่งดูแลกิจการทหาร โดยมีสมุหพระกลาโหมดูแล จตุสดมภ์นั้นให้มาขึ้นกับกรมมหาดไทยแล้วมีการเปลี่ยนชื่อและเพิ่มหน้าที่ โดยเฉพาะการขยายศาลไปทุกกรม ทำหน้าที่ตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับกรมของตน เช่น ศาลนครบาลขึ้นกับกรมพระนครบาล(กรมเมือง) ทำหน้าที่ชำระความคดีโจรผู้ร้าย ศาลความอาญา ศาลความแพ่งขึ้นกับกรมธรรมาธิบดี(กรมวัง) ชำระความคดีอาญาและคดีความแพ่งทั้งปวง ศาลการกระทรวง ขึ้นอยู่กับกรมอื่น ๆ ชำระคดีที่อยู่ในหน้าที่ของกรมนั้น ๆ
การพิจารณาและพิพากษาคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยาแบ่งเป็นหลายหน้าที่ให้หลายหน่วยงานทำงานร่วมกัน เริ่มจากกรมรับฟ้อง ลูกขุน ตระลาการ ผู้ปรับ กล่าวคือ กรมรับฟ้อง เป็นกรมต่างหาก มีหน้าที่รับฟ้องจากผู้เดือดร้อนทางอรรถคดี กรมรับฟ้องนำฟ้องเสนอลูกขุนที่เป็นกรมต่างหาก เมื่อลูกขุนตรวจฟ้องแล้ว กรมรับฟ้องก็จะส่งฟ้องไปยังศาลต่าง ๆ ที่แยกย้ายกันสังกัดกระทรวงกรมต่าง ๆ ศาลใดศาลหนึ่งแล้วแต่คดีความนั้นจะอยู่ในอำนาจศาลใด เช่น ศาลกรมวัง ศาลกรมนา เป็นต้น แต่ละศาลจะมีตระลาการที่จะพิจารณาไต่สวนอรรถคดีเป็นของตนเอง โดยมีลูกขุนและผู้ปรับซึ่งอยู่ในกรมอื่นต่างหากทำหน้าที่ชี้ขาดและปรับสินไหมพินัยร่วมกันอยู่
ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้มีการตรากฎหมายวิธีสบัญญัติเกี่ยวกับพระธรรมนูญศาลยุติธรรมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2165 ซึ่งในกฎหมายตราสามดวงเรียกกฎหมายดังกล่าวว่า “พระธรรมนูญ” จากกฎหมายฉบับนี้ทำให้ทราบได้ว่า สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่สมัยพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นมา มีศาลที่พิจารณาอรรถคดีต่าง ๆ กัน 14 ประเภท ดังนี้
ตามระบบการศาลสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าเมื่อมีคำพิพากษาของศาลแล้ว คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดเลย ไม่มีการฟ้องร้องระหว่างคู่ความเดิมในศาลชั้นสูงอีก ยกเว้นกรณีคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีของตนกระทำมิชอบหรือไม่ให้ความยุติธรรมแก่ตนก็อาจฟ้องร้องกล่าวหาตระลาการ ผู้ถามความ ผู้ถือสำนวน พยานนั้น ๆ ต่อศาลหลวง คดีในลักษณะเช่นนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับว่าเป็นความอุทธรณ์ และศาลหลวงก็คือศาลอุทธรณ์ในสมัยนั้น ส่วนศาลฎีกานั้นยังไม่มี แต่อาจมีราษฎรทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์บ้าง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนั้น แม้จะมีการชำระกฎหมายตราสามดวง แต่ระบบการศาลก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา
“ กระทรวงศาลหลวงตามฉันทกล่อมกลอง ”[4] ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๓๘๐ ซึ่งรวมอยู่ในแฟ้มอธิบายกระทรวงศาลแลกระบวนพิจารณาความอย่างเก่า ทำให้ทราบได้ว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีศาลประเภทต่าง ๆ ดังนี้
ส่วนใน “กฎหมายเก่าของหมอบลัดเล” และ “พระราชบัญญัติในปัตยุบัน” ได้กล่าวถึงศาลที่ขึ้นอยู่กับกระทรวงกรมต่าง ๆ ตลอดจนอำนาจหน้าที่ในการชำระความประเภทใดไว้ ดังนี้
นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นเมื่อใดก็ได้ตามความเหมาะสมเพื่อชำระความพิเศษบางคดีซึ่งทรงเห็นว่าศาลธรรมดาที่มีอยู่ชำระไม่ได้หรือชำระได้ยาก ศาลดังกล่าวเรียกว่า “ศาลรับสั่ง” เป็นศาลที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่น ศาลรับสั่งสำหรับชำระคนในบังคับสยามที่ต้องหาว่ากระทำความร้ายผิดกฎหมายที่ทุ่งเชียงคำและที่แก่งเจ๊กเมืองคำมวญซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ และตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติที่ตราขึ้นเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ตามสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ เป็นต้น
ส่วนในหัวเมืองต่างๆ ก็มีศาลเมืองต่างหากออกไปจากศาลส่วนกลางในกรุงเทพฯ ศาลเมืองเหล่านี้รับผิดชอบโดยข้าราชการในหัวเมืองนั้น ๆ ศาลในหัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ศาลในหัวเมืองฝ่ายใต้ขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม นอกจากนี้ศาลหัวเมืองบางแห่งขึ้นอยู่กับกรมท่า ศาลเมืองเหล่านี้มีอำนาจพิจารณาทั้งความแพ่งและความอาชญา แต่ในคดีความอุกฉกรรจ์นั้นศาลส่วนกลางยังมีอำนาจควบคุมได้ ดังจะเห็นได้จากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและกรมท่ายังมีศาลในกรุงเทพฯ ต่อเนื่องกับศาลในหัวเมืองด้วย กล่าวคือรับความที่ศาลในหัวเมืองส่งขึ้นมา่
ต่อมา เกิดวิกฤตทางการศาลในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดจากสาเหตุสำคัญ[5] คือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนแรกประเทศไทยจึงต้องปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลไทยใหม่อย่างเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 (รศ. 110) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมศาลที่กระจัดกระจายตามกระทรวงต่างๆ เข้ามาไว้ในกระทรวงยุติธรรม ให้มีเสนาบดีเป็นประธาน เพื่อที่จะจัดวางรูปแบบศาลและกำหนดวิธีพิจารณาคดีขึ้นใหม่ โดยมีกรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฎ์เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมคนแรก ได้ทรงวางระเบียบศาลตามแบบใหม่ ซึ่งเดิมตามประกาศจัดตั้งกระทรวงยุติธรรมมีศาลทั้งหมด 16 ศาล ให้รวมมาเป็นศาลสถิตย์ยุติธรรมให้เหลือเพียง 7 ศาล คือ
ต่อมาปี พ.ศ. 2437 (ร.ศ.115) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล เช่น ทรงแก้ปัญหาศาลกงสุลต่างชาติ โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็นผู้พิพากษา เป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษากฎหมายไทยและต่างประเทศ จนทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติจนยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทย พระองค์ยังขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษเองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ช่วยลดความล่าช้าในวงการศาล ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่และพระราชกรณียกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้น ถือเป็นการผลิตนักกฎหมายที่มีคุณภาพให้สังคมเป็นอย่างมาก
ในปี พ.ศ. 2439 (รศ. 117) ได้รวบรวมศาลหัวเมืองต่าง ๆ ตั้งเป็นศาลมณฑลสังกัดกระทรวงยุติธรรม
ในปี พ.ศ. 2451 (รศ. 127) ประกาศให้ใช้พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้แบ่งเป็น ศาลฎีการับผิดชอบต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว และให้มีศาลขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม 2 ประเภท คือ ศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ ศาลพระราชอาญา ศาลแพ่ง ศาลต่างประเทศ และศาลโปริสภา กับศาลหัวเมือง ลักษณะจึงกลายเป็นว่า มีศาลของเมืองหลวง, ศาลหัวเมืองต่างจังหวัด และศาลสูงสุดคือศาลฎีกา
ต่อมาได้มีประกาศจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2455 แยกหน้าที่ ราชการกระทรวงยุติธรรมเป็นธุรการส่วนหนึ่งและฝ่ายตุลาการอีกส่วนหนึ่งและยกศาลฎีกามารวมอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอธิบดีศาลฎีกาเป็นประธานในแผนกตุลาการ โดยกรมหลวงพิชิตปรีชากร ได้ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิบดีศาลฎีกาคนแรกในส่วนระเบียบราชการนั้น ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจและหน้าที่บังคับบัญชาราชการและรับผิดชอบในบรรดาราชการที่เป็นส่วนธุรการทั่วไป แต่ในส่วนที่เป็นตุลาการ ให้เสนาบดีเป็นที่ปรึกษาหารือและฟังความเห็นอธิบดีศาลฎีกาแล้ววินิจฉัยไปตามที่ตกลงกัน ถ้ามีความเห็นแตกต่างกัน ให้เสนาบดีพร้อมอธิบดีศาลฎีกา นำความกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติ
เมนูนำทาง
ศาลชั้นต้น_(ประเทศไทย) ประวัติใกล้เคียง
ศาลชั้นต้น (ประเทศไทย) ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย) ศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ศาลจังหวัด ศาลภัญชิกา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน สาขาปาย ศาลรัฐธรรมนูญ (อิตาลี) ศาลพันท้ายนรสิงห์แหล่งที่มา
WikiPedia: ศาลชั้นต้น_(ประเทศไทย) http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%88%E0... http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?... http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?... http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?... http://app-thca.krisdika.go.th/Naturesig/CheckSig?... http://www.moj.go.th/th/home/history http://www.supremecourt.or.th/webportal/supremecou... http://www.supremecourt.or.th/webportal/supremecou...