ศิลปะใต้ดิน

ศิลปะใต้ดิน (อังกฤษ: Lowbrow movement หรือ lowbrow art หรือ Lowbrow[1]) คือความเคลื่อนไหวทางทัศนศิลป์ใต้ดิน (underground visual art) ซึ่งเฟื่องฟูขึ้นในบริเวณลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนี่ย สหรัฐอเมริกา ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 โลวโบรว คือ ศิลปะป๊อปอาร์ต ที่มีต้นกำเนิดมาจาก คอมมิกซ์ใต้ดิน, พังค์ร็อค, hot-rod วัฒนธรรมข้างถนน และ วัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมายโลวโบรว ( lowbrow art ) มีชื่อเรียกชื่อว่า ป๊อป เซอเรียลลิสซึ่ม (pop surrealism)ศิลปะประเภทนี้นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน บ้างก็ร่าเริงแจ่มใส ซุกซน และ ประชดประชัน ศิลปะโลวโบรว ส่วนมากเป็นรูปวาด และ ระบายสี แต่อาจมีของเล่น ศิลปะดิจิตอล และ หุ่นปั้นอยู่บ้างศิลปินคนแรกๆที่สร้างงานศิลปะแนวนี้ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาในวงการlowbrow คือ underground cartoonist ชื่อ Robert Williams และ Gary Panter งานแสดงศิลปะล่าสุดแสดงอยู่ที่ แกลอรี่ในนิวยอร์ก และ ลอสแอนเจลิส เช่น Psychedelic Solutions Gallery ใน Greenwich Village LaLuz de Jesus และ 01 gallery ใน Hollywood ความเคลื่อนไหวทางศิลปะนี้ค่อยๆงอกเงยจากยุคเริ่มต้น จนมีศิลปินที่นำแนวความคิดนี้ไปปรับใช้หลายร้อยชีวิต เมื่อจำนวนศิลปินเพิ่มขึ้น งานแสดงผลงานทางศิลปะแนวโลวโบรว ก็มากขึ้นตามไปด้วย Julie Rico และ Bess Cutler Gallery เป็น ผู้เผยแพร่ผลงานชิ้นสำคัญ และ เผยแพร่ความเคลื่อนไหวทางศิลปะนี้ ให้เป็นที่รู้จักในวงการศิลปะนิตยสาร Juxtapoz โดย Robert Williams ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1994 และ เป็นแกนนำในการเขียนวิจารณ์ หรือ ถกแถลงกันเกี่ยวกับ Lowbrow art ซึ่งช่วยชี้แนวทาง และ สนับสนุนการเติบโตขึ้นของความเคลื่อนไหวนี้นักเขียนได้กล่าวไว้ว่าตอนนี้ลักษณะพิเศษของ Lowbrow art สามารถบ่งเบิกต้นกำเนิดของมันได้อย่างชัดเจน อเมริกาฝั่งตะวันตก นั้นได้รับอิทธิพลจาก underground commix และ hot rod car-culture มากกว่าที่อื่น เมื่อ lowbrow art ได้กระจายไปทั่วโลก มันได้หลอมรวมวัฒนธรรมในสถานที่นั้นๆเข้ากับศิลปะแนวนี้ทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ศิลปะชนิดนี้ยังสามารถแบ่งแยกออกเป็นหลากหลายสาขา หรือแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวทางศิลปะใหม่ๆอีกแนวหนึ่งก็เป็นได้ต้นกำเนิดของคำว่า “Lowbrow”ในบทความเดือน กุมภาพันธ์ 2006 ในฟัวข้อหนึ่งของนิตยสาร Juxtapoz Robert Williams ได้ประกาศว่าเป็นผู้บัญญัติศัพท์นี้ขี้นมา เขาได้เขียนหนังสือชื่อว่า , "The Lowbrow Art of Robt. Williams,"[6] ซึ่งพิมพ์ขึ้นในปี 1979 ในเมื่อศิลปะในยุคนั้นยังไม่มีใครแยกแยะว่าศิลปะของเขาเป็นประเภทอะไร เขาจึงก่อตั้งศิลปะแนว Lowbrow ขึ้นมา ซึ่ง ตรงกันข้ามกับศิลปะแนว Highbrow William เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่า caron-tainted abstract surrealismLowbrow หรือ Pop surrealismโลวโบรว นั้นโดยทั่วไปถูกกล่าวถึงว่า ป๊อป เซอเรียลลิสซึ่ม Kristen Anderson ผู้จัดพิมพ์และแก้ไขหนังสือ Pop Surrealism กล่าวไว้ว่า pop surrealism กับ Lowbrow นั้นเป็นศิลปะคนละแนวกัน แต่ Matt Dukes Jordan ผู้เขียนหนังสือ Weirdo Deluxe กล่าวว่ามันแทนกันได้Lowbrow vs. fine art พิพิธภัณฑ์ การวิจารณ์งานศิลปะ แกนนำ แกลอรี่ และ อื่นๆ ได้พยายามตลอดมาที่จะบอกสถานะของศิลปะโลวโบรวให้เกี่ยวข้องกับ fine art แต่ก็ยังคลุมเครือ ศิลปะแนวนี้เสมือนถูกแยกออกจากศิลปะแนวอื่นๆ ถึงอย่างไรก็ตาม นักสะสมงานศิลปะ ก็ยังคงซื้องานศิลปะโลวโบรวไว้ครอบครอง ผู้วิจารณ์งานศิลปะยังคงมีคำถามว่าโลโบรวนั้นเป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่ถูกกฎเกณฑ์ หรือไม่ มีนักวิชาการด้านการวิจารณ์นั้นน้อยคนที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับโลวโบรว โลกศิลปะยังมีความสงสัยอย่างมาก กับ ความเป็นโลวโบรว การเล่าเรื่องราว และ คุณค่าทางเทคนิคของงาน ซึ่งได้รับการดูถูกจากโรงเรียนศิลปะ และ นักวิจารณ์ในยุค 1980s-1990s อย่างไรก็ตาม ศิลปินโลวโบรวผู้โด่งดัง ก็ยังแสดงงานศิลปะตาม แกลลอรี่จิตรกรรมต่างๆเช่น Mark Ryden (Tree Show) 2007 เป็นต้นต้นกำนิดของโลวโบรวในบางแง่มุมสามารถอ้างได้ถึงความเคลื่อนไหวทางศิลปะในศรรตวัตร ที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของ Dadaists และ American Regionalism ของ Marcel Duchamp และ Thomas Hart Benton ศิลปะในยุคนี้ต้องการสื่อความแตกต่างระหว่างศิลปะชั้นสูง และ ศิลปะของคนธรรมดา จิตรกรม หรือ ศิลปะพื้นบ้าน popular culture หรือ high culture ในยุค 1960 และ ต้นยุค 1970 ศิลปินร่วมสมัยหลายคนได้รับอิทธิพล และ นำกลวิธีของโลวโบรวมาสร้างสรรค์งานร่วมสมัยมากขึ้น เช่นLisa Yuskavage, Kenny Scharf, Takashi Murakami, Greg Colson, Inka Essenhigh, Jim Shaw, John Currin, Mike Kelley, และ Mission School, ประกอบด้วย Barry McGee และ Margaret Kilgallen.