ประวัติ ของ สกอร์เปียนส์

ก่อตั้งวงและเริ่มวง (1965–1973)

Rudolf Schenker มือกีตาร์ของวงเปิดตัวในปีค.ศ. 1965 แต่เขาไม่ใช่ตำแหน่งร้องนำ กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้นปี 1969 Michael Schenker น้องของ Rudolf SchenkerและKlaus Meine นักร้องนำของวงมาเข้าร่วมในปี1972 ปีนั้นได้เปิดตัวอัลบั้มแรกของวงคือ Lonesome Crow โดยได้ Lothar Heimberg มาเล่นเบส และ Wolfgang Dziony มาเป็นมือกลอง ในช่วง ใกล้จบโลนซัมโครวทัวร์ วงUFO ของประเทศอังกฤษได้ขอให้ Michael Schenker ไปเล่นกีตาร์ให้กับวง Ulrich Roth เพื่อนของ Michael Schenker จึงมาเล่นกีตาร์แทนเขาในปี 1973 และได้ Francis Buchholz มาเล่นเบส , Achim Kirschning มาเล่นคีย์บอร์ด และJürgen Rosenthal มาเล่นกลอง

วงเริ่มมีชื่อเสียง (1974-1978)

ในปี 1974 สกอร์เปียนส์ออกอัลบั้ม Fly to the Rainbow ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรก[1] และเพลง Speedy coming ทำให้วงมีชื่อเสียงขึ้น Achim Kirschning ตัดสินใจออกจากวง หลังจาก Jürgen Rosenthal เขาถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพ ในปี 1975 เปิดตัวอัลบั้ม In Trance เป็นจุดเริ่มต้นของวงกับ Dierks Dieterโปรดิวเซอร์ของวงในระยะยาว ในปี 1976 เพลงเปิดตัวอัลบั้มVirgin Killerปกอัลบั้มที่โดดเด่น โดยใช้รูปการเปลือยกายของหญิงสาวในกระจกที่แตก ปกที่ถูกออกแบบโดย Stefan Bohle พวกเขาเป็นที่รู้จักจากผู้ฟังนอกทวีปยุโรปได้ด้วยอัลบั้มนี้ในปีต่อไป Lenners Rudy ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวและถูกแทนที่โดย Herman Rarebell และมีอัลบั้มต่อมาคือ Taken by Force ในปี 1977 และในปี 1978 ก็ได้ออกอัลบั้มTokyo Tapes กับการลาออกของ Ulrich Roth และถูกแทนที่โดย Matthias Jabs

ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ (1979-1991)

ในปี 1979 อัลบั้ม Lovedrive ก็ได้เปิดตัว พร้อมกับการกลับมาของ Michael Schenker ในระยะสั้นๆ ในปี 1980 ทางวงออกอัลบั้ม Animal Magnetism เพลงคลาสสิกที่มีอยู่ในอัลบั้มเช่น" The zoo "และ"Make It Real" หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มไปคอของ Klaus Meine เริ่มประสบปัญหาในลำคอ เขาจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดสายเสียงของเขาจนสามารถแล้วได้เหมือมเดิม ในปี 1982 วงก็ออกอัลบั้มBlackout มันเป็นที่ขายดีที่สุดของวง ในปี 1984ไดเปิดตัวอัลบั้ม Love at First Sting ใช้เพลงเปิดตัวคือ "Rock You Like a Hurricane" หลังจากนั้นปี 1985 ทางวงได้จัดแสดงสดครั้งที่2คือ World Wide Live และในปี 1988 ได้ออกสตูดิโออัลบั้ม Savage Amusement และประสบผลสำเร็จแต่ทางวงถือว่าเป็นความผิดหวังที่สำคัญแต่ก็ทำให้วงขยายฐานคนฟังได้มากขึ้นและได้ Keith Olsen มาเป็นโปรดิวเซอร์คนใหม่ ในปี 1990 ก็ออกอัลบั้ม Crazy World เปิดตัวด้วยเพลง"Wind of Change"แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการเมืองที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออกและช่วงสงครามเย็น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1990 ทางวงได้ร่วมจัดคอนเสริ์ต"The Wall" ในเบอร์ลิน

ช่วงต่อมา(1992-2009)

ในปี 1993ได้ออกอัลบั้ม Face the Heat ซึ่งประสบผลสำเร็จในระดับปานกลาง[2] ในปี 1995 อัลบั้มใหม่ Live Bites ก็ถูกผลิต ในระหว่างการทัวร์ Face the Heat ในปี1996 ก็ได้ออกอัลบั้ม Pure Instinct และมือกลอง Herman Rarebell ก็ลาออกจากวงและถูกแทนที่โดย James Kottak ซึ่งเปิดตัวด้วยเพลง "You and I" ได้รับความสำเร็จในระดับปานกลาง[3] ในปี 1999 ก็ปล่อยอัลบั้ม Eye II Eye แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ[4] ในปี 2000 ก็ปล่อยอัลบั้ม Moment of Glory ซึ่งความนิยมของวงก็แผ่วลง ในปี 2001 สกอร์เปียนส์ได้ออกอัลบั้ม Acoustica ซึ่งนำความนิยมของวงกลับมาได้อย่างมาก ในปี 2004 ก็ออกอัลบั้ม Unbreakable ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงมากมาย ในปี 2007 ออกอัลบั้ม Humanity - Hour 1 ใช้เพลง"Humanity" เปิดตัวและการทัวร์

อัลบั้มใหม่และการอำลาวงการ(2010 -ปัจจุบัน)

ในเดือนพฤศจิกายน 2009 Scorpions ประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มที่ 17 ของพวกเขา Sting in the Tail เปิดตัวในปี 2010 ที่บันทึกไว้ในฮันโนเฟอร์กับสวีเดนผลิตโดย Mikael"Nord"Andersson และ Martin Hansen Sting ปล่อยในวันที่ 23 มีนาคม 2010เมื่อมกราคม 24, 2010, วงที่ประกาศว่า Sting in the Tail อัลบั้มชุดล่าสุดของพวกเขาและทัวร์สุดท้ายของพวกเขา คาดว่าจะจบในปี 2012 หรือ 2013เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2010 Scorpions ได้ประทับรอยมือที่ HollywoodของRock Walk ในพิธี handprint ตามที่มือเบสของวง Scorpions Paweł Mąciwoda จะเข้าสู่สตูดิโอในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2011 ที่จะบันทึกอัลบั้มใหม่จุดเริ่มต้นนี้คือคอลเลกชันย้อนยุคคร่าวๆเนื่องจากการปล่อยในช่วงต้นปี 2012 คืออัลบ้มComeblack ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน 2011