ราชวงศ์ในสมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณ ของ สมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณ

ราชวงศ์ที่ยี่สิบหกแห่งอียิปต์

ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก หรือที่เรียกว่าราชวงศ์แห่งซาอิส หลังจากราชวงศ์ที่ยี่สิบหกได้สถาปนาศูนย์อำนาจในเมืองซาอิส ก็ได้ขึ้นมาปกครองตั้งแต่ 672 ถึง 525 ปีก่อนคริสตกาล และประกอบด้วยฟาโรห์จำนวนหกพระองค์ ซึ่งเริ่มต้นช่วงเวลาของราชวงศ์ด้วยการรวมอาณาจักรอียิปต์ของฟาโรห์พซัมติกที่ 1 เมื่อราว 656 ปีก่อนคริสตกาล เป็นผลโดยตรงจากการปล้นสดมภ์เมืองธีบส์โดยจักรวรรดิอัสซีเรียเมื่อ 663 ปีก่อนคริสตกาล และได้เริ่มการขุดคลองจากแม่น้ำไนล์ถึงทะเลแดงในช่วงเวลานี้

ดูเหมือนว่าอียิปต์จะขยายดินแดนเข้าสู่ตะวันออกใกล้ในช่วงต้นของช่วงเวลาดังกล่าง การค้นพบทางโบราณคดีที่จำนวนมากจากเลวานไทน์ แสดงให้เห็นถึงการยึดครองและการควบคุมของอียิปต์ในช่วงปลายทศวรรษของศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์กาล รวมถึงวัตถุต่าง ๆ ของอียิปต์จากหลาย ๆ แห่ง ชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาและเอกสารแสดงระบบบรรณาการ/ภาษี และหลักฐานจากป้อมปราการแห่งเมซาด ฮาชาฟยาฮู[1][2] อิทธิพลของอียิปต์ไปถึงพื้นที่ยูเฟรติสในสถานที่เช่น คิมูฮู และกูรามาติ แต่ต่อมาอียิปต์ก็ต้องถอยร่นจากความพ่ายแพ้ที่คาร์เคมิช แม้ว่าการแทรกแซงของอียิปต์ในตะวันออกใกล้ดูเหมือนจะดำเนินต่อไปหลังจากการสู้รบครั้งนี้[3]

ฟาโรห์อมาซิสที่ 2 ทรงปฏิบัติตามพระราชนโยบายใหม่และมุ่งความสนพระราชหฤทัยไปที่โลกกรีก ทรงผนวกไซปรัสในรัชสมัยของพระองค์[4] ฟาโรห์พซัมติกที่ 2 ได้ทรงส่งคณะเดินทางทางทหารครั้งใหญ่ในทางใต้ที่ลึกเข้าไปในบริเวณนิวเบียบนและก็พ่ายแพ้อย่างหนักกลับมา[5] บันทึกปาปิรุสเดโมติกจากรัชสมัยของฟาโรห์อาโมสที่ 2 ไเ้บรรยายถึงการเดินทางเล็ก ๆ สู่นิวเบีย ซึ่งมีลักษณะที่ไม่ชัดเจน มีหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับกองทหารอียิปต์ที่ดอร์กินาร์ติในนิวเบียล่างในช่วงราชวงศ์แห่งซาอิส[6]

ปรากฏหลักฐานอีอย่างหนึ่งจากสมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณ คือ บันทึกปาปิรุสบรูคลิน ซึ่งเป็นบันทึกปาปิรุสทางการแพทย์ที่มีชุดการรักษาทางการแพทย์และเวทมนตร์สำหรับผู้ที่ถูกงูกัดโดยพิจารณาจากประเภทของงูหรืออาการ[7]

งานศิลปะในช่วงเวลานี้เกี่ยวข้องกับลัทธิบูชาสัตว์และมัมมี่สัตว์ ภาพนี้แสดงให้เห็นเทพเจ้าปาไตโกสทรงสวมแมลงสคารับบนพระเศียร นกหัวมนุษย์สองตัวเกาะบนพระอังสาบ่า ทรงถืองูไว้ในมือข้างละข้าง และประทับยืนอยู่บนหัวจระเข้[8]

ราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์

สมัยการปกครองของจักรรวรรดิอะคีเมนิดที่ 1 (ระหว่าง 525–404 ปีก่อนคริสตกาล) ได้เริ่มต้นจากการรบที่เปลูเซียม ซึ่งอียิปต์ (เปอร์เซียเก่า: 𐎸𐎭𐎼𐎠𐎹 Mudrāya) ได้ถูกพิชิตโดยจักรรวรรดิอะคีเมนิดอันกว้างใหญ่ในรัชสมัยกษัตริย์แคมไบซีสที่ 2 และอียิปต์ก็กลายเป็นหนึ่งในมณฑลของจักรรวรรดิอะคีเมนิด ราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดแห่งอียิปต์ประกอบด้วยกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย ได้แก่ แคมไบซีสที่ 2, เซอร์ซีสที่ 1 และดาริอุสมหาราช ซึ่งทรงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ในฐานะฟาโรห์และปกครองผ่านมณฑล เช่นเดียวกันกับฟาโรห์เปทูบาสติสที่ 3 (ปกครองระหว่าง 522–520 ปีก่อนคริสตกาล) (และอาจจะเป็นไปได้พระองค์คือ ฟาโรห์ซัมเมติคัสที่ 4 ตามมีการโต้เถียงกัน) ซึ่งทรงก่อกบฏโดยต่อต้านผู้ปกครองของเปอร์เซีย การก่อกบฏของอินารอสที่ 2 (460-454 ปีก่อนคริสตกาล) ที่ไม่ประสบความสำเร็จนั้นได้รับความช่วยเหลือจากชาวเอเธนส์ในฐานะส่วนหนึ่งของสงครามแห่งสันนิบาตดีเลียน ผู้ว่าการมณฑลอียิปต์ของเปอร์เซีย คือ อารยันเดส (525–522 ปีก่อนคริสตกาล และ 518–ประมาณ 496 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งปกครองในช่วงของการก่อกบฏโดยฟาโรห์เปทูบาสติสที่ 3, เฟเรนดาเตส (ประมาณ 496–486 ปีก่อนคริสตกาล), อะเคเมเนส (ประมาณ 486–459 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นพระอนุชาของกษัตริย์เซอร์ซีสที่ 1 และอาร์ซาเมส (ราว 454 – ราว 406 ปีก่อนคริสตกาล)

ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปดถึงราชวงศ์ที่สามสิบแห่งอียิปต์

ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปดมีฟาโรห์พระองค์เดียวคือ อไมร์เตอุส ผู้ครองเมืองแห่งซาอิส พระองค์ทรงก่อการกบฏต่อชาวเปอร์เซียได้สำเร็จ นับเป็นการเปิดฉากช่วงสำคัญของความเป็นอิสระในช่วงสุดท้ายของอียิปต์ภายใต้อำนาจอธิปไตยของชนพื้นเมือง ไม่ปรากฏอนุสาวรีย์ใดที่ปรากฏพระนามของพระองค์ ราชวงศ์นี้ปกครองเป็นเวลาหกปีตั้งแต่ 404 ปีก่อนคริสตกาล - 398 ปีก่อนคริสตกาล

ราชวงศ์ที่ยี่สิบเก้าขึ้นมาปกครองต่อ ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองเมนเดส ตั้งแต่ 398 ถึง 380 ปีก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ฮาคอร์จากราชวงศ์นี้ทรงสามารถเอาชนะการรุกรานของชาวเปอร์เซียได้ในรัชสมัยของพระองค์

ราชวงศ์ที่สามสิบได้รับรูปแบบศิลปะจากราชวงศ์ที่ยี่สิบหก ฟาโรห์จำนวนสามพระองค์ทรงปกครองตั้งแต่ 380 ถึง 343 ปีก่อนคริสตกาล ฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์พระนาม เนคทาเนโบที่ 1 พระองค์ทรงอาชนะการรุกรานของเปอร์เซียใน 373 ปีก่อนคริสตกาล และต่อมาผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของพระองค์พระนามว่า ทีออส พระองค์ได้ทรงต่อต้านจักรวรรดิอะคีเมนิดในตะวันออกใกล้ การเดินทางเริ่มประสบผลสำเร็จและเดินทางไปยังฟีนิเซียโดยไม่มีปัญหาใดเป็นพิเศษ แต่เจ้าชายทจาฮาปิมู ผู้เป็นพระอนุชา ทรงกำลังวางแผนต่อต้านพระองค์ โดยเจ้าชายทจาฮาปิมูทรงโน้มน้าวให้เจ้าชายเนคทาเนโบ ผู้ซึ่งเป็นพระโอรสลูกชายให้ทรงทำก่อการกบฏต่อฟาโรห์ทีออส และสถาปนาพระองค์เองเป็นฟาโรห์ ซึ่งสามารถก่อการกบฏได้สำเร็จและฟาโรห์ทีออสทรงไม่มีทางเลือกใดอีก นอกจากต้องหนีและคณะสำรวจทางทหารก็แตกพ่าย ผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้และผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของอียิปต์คือ ฟาโรห์เนคทาเนโบที่ 2 ซึ่งทรงพ่ายแพ้ในการสู้รบซึ่งนำไปสู่การผนวกอียิปต์เข้าจักรวรรดิอะคีเมนิดอีกครั้ง

ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์

สมัยการปกครองของจักรรวรรดิอะคีเมนิดที่ 2 ได้รวมอียิปต์กลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งจักรวรรดิเปอร์เซียในการปกครองของราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด (343–332 ปีก่อนคริสตกาล) อีกครั้ง ซึ่งประกอบด้วยกษัตริย์เปอร์เซียจำนวน 3 พระองค์ที่ทรงปกครองในฐานะฟาโรห์ คือ อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 3 (343– 338 ปีก่อนคริสตกาล), อาร์ตาเซอร์ซีสที่ 4 (338–336 ปีก่อนคริสตกาล) และดาริอุสที่ 3 (336–332 ปีก่อนคริสตกาล) และปรากฏการก่อกบฏของภายในราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ดโดยฟาโรห์คาบาบาช (338–335 ปีก่อนคริสตกาล) การปกครองของเปอร์เซียในอียิปต์สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิอะคีเมนิดต่อกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งพระองค์ยอมรับการสวามิภักดิ์ของผู้ว่าการมณฑลอียิปต์แห่งเปอร์เซียนามว่า มาซาเคส ใน 332 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองของชาวกรีกในอียิปต์ที่มีเสถียรภาพหลังจากการสวรรคตของอเล็กซานเดอร์ในสมัยราชอาณาจักรปโตเลมี

ใกล้เคียง

สมัยประชุมวิสามัญของรัฐสภาไทย 26–27 ตุลาคม 2563 สมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณ สมัยปัจจุบัน สมัยประชุมพิเศษฉุกเฉินที่ 11 ของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัย ปานอินทร์ สมัยการปกครองส่วนพระองค์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยกลางตอนต้น สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา สมัยไพลสโตซีน