สวนนาคราภิรมย์ เป็น
สวนสาธารณะในการกำกับดูแลของ
กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการเมื่อวันที่
4 กันยายน พ.ศ. 2553เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็ก มีพื้นที่รวม 3
ไร่ 3
งาน 65.90
ตารางวา[1] ตั้งอยู่บริเวณ ทิศเหนือติดกับสโมสรข้าราชบริพาร ทิศใต้ติดกับ
ถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกติด
ถนนมหาราช ทิศตะวันตกติด
แม่น้ำเจ้าพระยา แขวงพระบรมมหาราชวัง
เขตพระนคร กรุงเทพมหานครโดยสร้างบนที่ดินของ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และ
กรมธนารักษ์ โดยแบ่งเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 2 ไร่ 0 งาน 25.90 ตารางวา และของกรมธนารักษ์ 1 ไร่ 3 งาน 44 ตารางวา
[1] โดยได้พัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นสวนสาธารณะในแนวราบพร้อมห้องน้ำสาธารณะ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่เพราะเป็นสถานที่ ๆ ที่มีทำเลสวยงาม อยู่ในเกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งแวดล้อมไปด้วยศิลปวัฒนธรรมแห่งยุครัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับ
สวนสันติชัยปราการ โดยสามารถมองเห็นสถาปัตยกรรมที่มีความสำคัญทาง
ประวัติศาสตร์หลายแห่งของทั้งพื้นที่
ฝั่งธนบุรีและ
ฝั่งพระนครได้ชัดเจน อาทิ
พระปรางค์วัดอรุณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นต้น
[2] การออกแบบสวนแห่งนี้ มีพื้นที่กลางสวนปูด้วยสนาม
หญ้าสีเขียวผืนใหญ่ มีทางเดินเล่นระดับแบ่งสัดส่วน พื้นที่ โดยเฉพาะลานขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตลอดความยาวของพื้นที่ติดกับผืนน้ำเพื่อเปิดรับ
ลมเย็นพัดเข้าสู่ฝั่ง ประดับด้วยแนวกั้นด้วยเสาต้นเตี้ยผูกโยงด้วยโซ่เส้นเดียวจากเสาสู่เสาเป็นจังหวะที่สวยงาม พร้อมม้านั่งสำหรับชมวิวที่จัดวางอยู่เป็นระยะ ๆ จากริมน้ำขึ้นทางเดินเล่นระดับขึ้นเป็นลานกว้าง มีบ่อสระ
บัวรูป
สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวขนานทั้งสองด้าน ส่วนไม้ประดับเน้นกลุ่มของไม้พุ่มเตี้ยที่ออกแบบจัดวางได้อย่างลงตัว ส่วนที่สูงโปร่งมีเพียงต้น
ลีลาวดีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น เพื่อไม่ให้บดบังความงามของสถาปัตยกรรมที่อยู่เบื้องหลัง และเป็นพื้นที่ที่มิให้มีการค้าขายหาบเร่แผงลอยโดยได้รับพระราชทานนามจาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "สวนนาคราภิรมย์" มีความหมายถึง " สวนเป็นที่น่ารื่นรมย์ยิ่งของชาวพระนคร"สวนนาคราภิรมย์ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่
3 ธันวาคม พ.ศ. 2553[1][3]ในกลางปี พ.ศ. 2559 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ได้มีโครงการจัดทำอาคารจอดรถใต้ดินจำนวน 3 ชั้นครึ่ง บนพื้นที่ 7 ไร่ ภายในสวนนาคราภิรมย์ โดยเริ่มต้นก่อสร้างขึ้นในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน คาดว่าแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2 ปี โดยสามารถรองรับรถได้ทั้งหมด 700 คัน
[4]