สิว เป็น โรคผิวหนังที่พบบ่อยของมนุษย์ มีลักษณะของเซโบเรีย (ผิวสีแดงเกล็ด) คอมีโดน (สิวหัวดำและสิวหัวขาว), พาพูล (สิวเสี้ยน), โนดูล (สิวขนาดใหญ่), สิวเม็ดเล็ก และอาจทำให้เกิดแผลเป็น
[1] นอกเหนือจากการทำให้เกิดแผลเป็น ผลกระทบหลักคือทางด้านจิตใจ เช่น ลดความเชื่อมั่นในตนเองลง
[2] และในกรณีที่รุนแรงมาก จะทำให้เกิด
ภาวะซึมเศร้าหรือ
การฆ่าตัวตาย [3]. การศึกษาหนึ่งได้ประมาณการอุบัติการณ์ของความคิดฆ่าตัวตายในผู้ป่วยที่เป็นสิวมีอยู่ 7.1%.
[4]ในวัยรุ่น สิวมักมีสาเหตุเกิดจากการเพิ่มขึ้นของแอนโดรเจนเช่น
ฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวัยแรกรุ่น โดยไม่คำนึงถึง
เพศ [5] สิวมักเกิดขึ้นมากในผิวที่มีจำนวนต่อมน้ำมันมาก ซึ่งบริเวณเหล่านี้รวมถึงใบหน้า ส่วนบนของหน้าอก และหลัง
[6] ลดสิวอักเสบรุนแรงเป็นการติดเชื้อ แต่สิวยังสามารถปรากฏในหลายรูปแบบของการไม่ติดเชื้อ
[7] การเปลี่ยนแปลงของผิวมีสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในหน่วยไพโลเซบาเซียส
[8] โครงสร้างผิวประกอบด้วยรูขุมขนและต่อมไขมัน การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องใช้แอนโดรเจนกระตุ้นการรักษามีอยู่หลายหลายหนทาง การรับประทานอาหารประเภท
คาร์โบไฮเดรตอย่าง
น้ำตาลน้อยลงอาจช่วยได้
[9] ยาสำหรับรักษาสิว ได้แก่ เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์
ยาปฏิชีวนะ (ทั้งยาทาหรือยาเม็ด), เรตินอยด์, ยาต้านแอนติเซบอริค, ยาต้านแอนโดรเจน, การปรับ
ฮอร์โมน, กรดซาลิไซลิค, กรดอัลฟาไฮดรอกซี, กรดอะซีลาอิค, นิโคตินอะไมด์ และสบู่ที่มีส่วนผสมของคีราโตไลติค.
[10] การรักษาในลำดับแรกและเชิงรุก คือ สนับสนุนให้ลดผลกระทบระยะยาวจากการรักษาให้กับคนไข้.
[2]สิวเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วง
วัยรุ่น มีผลกระทบประมาณ 80-90% ของวัยรุ่นใน
โลกตะวันตก [11][12][13] อัตราที่ต่ำกว่าจะมีการรายงานในบางสังคมชนบท
[13][14] ในปี 2010 เป็นที่คาดประมาณการว่าเป็น 8 โรคที่พบมากที่สุดทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 650,000,000 คนทั่วโลก
[15] สำหรับคนส่วนใหญ่ สิวลดลงเมื่อเวลาผ่านไปและมีแนวโน้มที่จะหายไป - หรืออย่างน้อยลดลงมาก – เมื่อมีอายุ 25
[16] อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดสิวจึงจะหายไป และบางรายอาจตกอยู่ในสภาวะเป็นสิวในช่วงวัยสามสิบ วัยสี่สิบ และอายุมากกว่านั้น.
[17] ถึงกระนั้นแล้วก็ยังมีบางคนที่อายุมากกว่านั้น ยังเป็นสิวอยู่