สื่อลามกเกย์ในสหรัฐ ของ สื่อลามกเกย์

The Swimming Hole (1884–85) รูปภาพโฮโมอีโรติกโดยศิลปินชาวอเมริกัน ทอมัส เอคินส์ (1844–1916)[4][5]

เริ่มแรกศิลปะในรูปแบบโฮโมอีโรติกถือเป็นสื่อลามกเกย์ชิ้นแรกที่ใช้กันมานานยาวนานจนกระทั่งได้เริ่มมีพัฒนาการของสื่อในด้านของรูปภาพและภาพยนตร์เกิดขึ้น ในช่วงแรกสื่อลามกทุกชนิดถือเป็นของใต้ดินเนื่องจากกฎหมายของสหรัฐที่ยังไม่รองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่นำเสนอภาพลักษณ์ของชายรักร่วมเพศอาจถูกดำเนินคดีอย่างรุนแรง ดังนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1940 และ 1950 สื่อลามกเกย์โดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปภาพของนักกีฬาเพาะกายผู้ชาย โดยรูปภาพอาจจะมีเปิดแบบเรือนร่างทั้งหมดหรือสวมใส่เพียงแค่ชุดชั้นในชาย The Athletic Model Guild (AMG) ถือเป็นสตูดิโอแห่งแรกในสหรัฐที่ผลิตสื่อลามกเกย์สำหรับเชิงพาณิชย์ที่ถูกก่อตั้งโดย Bob Mizer ในปีค.ศ. 1945 โดยสื่อลามกอนาจารเกย์ชิ้นแรกที่สตูดิโอแห่งนี้ผลิตคือนิตยสาร Physique Pictorial ในปี ค.ศ. 1951 นิตยสารหัวนี้ได้ใส่รูปภาพของ Tom of Finland เพิ่มเข้าไปหลายฉบับ[6]

ช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 การใช้กล้องฟิล์มขนาด 16 มม. ที่มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นส่งผลทำให้สื่อลามกอนาจารเกย์เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้นโดยเฉพาะในรูปแบบภาพยนตร์ การขายสื่อเหล่านี้นั้นส่วนใหญ่จะส่งขายผ่านทางไปรษณีย์หรือช่องทางที่ผู้คนไม่สามารถพบเห็นได้ ในช่วงแรกนักแสดงภาพยนตร์ลามกเกย์และค่ายภาพยนตร์จะนิยมออกเดินทางไปยังโรงแรมในเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อขายสื่อลามก โดยการรับรู้จะเป็นการบอกเล่าแบบปากต่อปาก หรือการโฆษณาผ่านทางนิตยสาร แต่ในระหว่างช่วงทวรรษที่ 1960 นั้นศาลสูงสุดของสหรัฐได้เริ่มมีการพิจารณาและให้การค้าขายสื่อลามกอนาจารถูกกฎหมายมากขึ้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Boys in the Sand ก็ถือเป็นภาพยนตร์ลามกเกย์เรื่องแรกในสหรัฐที่ได้เข้าฉายครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ.1971 ที่โรงภาพยนตร์ในนิวยอร์ก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือเป็นภาพยนตร์ลามกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก[7]

การผลิตภาพยนตร์ลามกเกย์ในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1970 ตามจำนวนที่เพิ่มขึ้นของโรงภาพยนตร์ลามกในสหรัฐ โดยการถ่ายทำส่วนใหญ่จะเป็นในสถานที่ที่ผู้ชายสามารถที่จะมีกิจกรรมทางเพศกับผู้ชายได้ ทั้งนี้เนื้อหาของภาพยนตร์จะเป็นสถานการณ์จำลองในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงอาบน้ำเกย์, เซ็กซ์คล้บ หรือ ชายหาด เป็นต้น

นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง ทศวรรษที่ 1980 วงการภาพยนตร์ลามกเกย์ถือเป็นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในสหรัฐ[8] และเริ่มมีการคัดเลือกนักแสดงอย่างจริงจังมากขึ้นโดยส่วนใหญ่ค่ายภาพยนตร์จะคัดเลือกในกลุ่มชายรักร่วมเพศก่อนแต่ก็มีชายรักร่วมเพศน้อยคนมากที่จะหันมาเล่นภาพยนตร์ลามกเกย์ในยุคนั้นเนื่องจากความเกรงกลัวที่จะถูกสังคมประณามและเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย

ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ภาพยนตร์ลามกเกย์ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นวิดีโอคาสเซ็ตมากขึ้นและจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวีและโรคเอดส์ทำให้กิจกรรมทางเพศในพื้นที่สาธารณะนั้นได้รับความนิยมลดลงเป็นอย่างมากจากทั้งหมดทำให้โรงภาพยนตร์ลามกเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยจากสถานการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ภาพยนตร์ลามกมีต้นทุนที่ต่ำลงรวมทั้งราคาขายซึ่งก็สามารถที่จะเข้าถึงกลุ่มคนดูได้อย่างแพร่หลายในสหรัฐ โดยภาพยนตร์ลามกเกย์ในสหรัฐนั้นไม่มีแค่เพียงกลุ่มชายรักร่วมเพศในอุตสาหกรรมเท่านั้นแต่มีกลุ่มชายรักต่างเพศร่วมด้วย โดย Chi Chi Larue ผู้กำกับภาพยนตร์ลามกเกย์ในยุคนั้นได้ออกมาเปิดเผยว่าผู้ชายที่แสดงในภาพยนตร์ลามกเกย์ร้อยละ 60 จะเป็นกลุ่มชายรักต่างเพศหรือเกย์-ฟอร์-เพย์ ซึ่งประเด็นนี้ก็ถือเป็นประเด็นที่ยังมีการถกเถียงกัน[9]

ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ลามกเกย์ได้เริ่มมีความหลากหลายในตัวสื่อมากขึ้น โดย Kristen Bjorn ก็ถือเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ลามกเกย์ที่ยกระดับทั้งคุณภาพของวิดีโอ, การดูแลนักแสดง และเทคนิคการถ่ายทำให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยทั้งหมดก็ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ลามกเกย์ในสหรัฐมีการแข่งขันที่ถูกมากขึ้น ทั้งนี้ในความหลากหลายก็เกิดกลุ่มตลาดเฉพาะขึ้นในวงการภาพยนตร์ลามกเกย์เป็นอย่างมาก เช่น ภาพยนตร์ลามกเกย์ในลักษณะของผู้ชายตามชาติพันธุ์, ผู้ชายข้ามเพศ, ผู้ชายในเครื่องแบบ หรือในลักษณะ BDSM

นักแสดงในวงการภาพยนตร์ลามกเกย์ของสหรัฐช่วงศตวรรษที่ 21

และช่วงศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมาวงการภาพยนตร์ลามกเกย์ถือเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีผลตอบแทนสูงสุดอีกหนึ่งอุตสาหกรรมโดยจะเห็นได้จากการทำภาพยนตร์ลามกเกย์ได้นำผู้ชายรักต่างเพศมาแสดงโดยเฉพาะ อาทิ Sean Cody, Active Duty หรือ Bel Ami จากความหลากหลายของวงการทำให้ภาพยนตร์ลามเกย์ได้มีการแพร่หลายและทำการตลาดในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

แหล่งที่มา

WikiPedia: สื่อลามกเกย์ http://findarticles.com/p/articles/mi_m1026/is_n3_... http://www.gaypornblog.com/archives/2006/01/thrust... http://sensorglitch.livejournal.com/18677.html //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25068695 //pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32975464 //doi.org/10.1023%2FB:QUAS.0000005056.46990.c0 //doi.org/10.1080%2F00224499.2020.1817837 //doi.org/10.1080%2F00918369.2014.928581 //doi.org/10.1080%2F23808985.2019.1584045 http://news.bbc.co.uk/1/hi/programmes/newsnight/72...