การกระโดดในสเกตลีลา นั้นเป็นกระบวนการเริ่มตั้งแต่การโดยลอยตัวขึ้น หมุนตัวกลางอากาศ และ การลงสัมผัสพื้น การกระโดดนั้นมีหลายประเภท แยกออกโดย ท่าทางของการกระโดดขึ้น การลงสัมผัสพื้น และ จำนวนรอบของการหมุนตัวกลางอากาศ
นักสเกตโดยส่วนใหญ่นิยมหมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา แต่ก็มีบางคนที่หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา มีนักสเกตจำนวนน้อยคนที่จะหมุนตัวได้ทั้งสองทิศทาง ดังนั้นการอธิบายถึงลักษณะการกระโดดด้านล่างนี้ จะใช้หมายถึงการกระโดดเพื่อหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
การกระโดดในสเกตลีลามีอยู่ 6 ประเภทหลัก โดยการกระโดดทั้ง 6 ปรเภทนี้จะลงสัมผัสพื้น บนคมมีดด้านนอกของเท้าขวา (สำหรับการหมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา ทั้งแบบรอบเดียว หรือ หลายรอบ) แต่แตกต่างกันตอนกระโดดขึ้น ลักษณะของการกระโดดขึ้นสามารถแยกได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ การกระโดดใช้ปลายเท้า (toe jumps) และ การกระโดดใช้คมมีด (edge jumps) (รายละเอียดด้านล่างอธิบายถึง การกระโดดหมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา ส่วนการหมุนตัวตามเข็มนาฬิกานั้นจะสลับข้างกัน)
การกระโดดแบบใช้ปลายเท้า หรือโทจัมพ์ (Toe Jumps) หรือการกระโดดโดยใช้โทพิก
- โทลูป (Toe loop (T)) เริ่มออกตัวกระโดดจากการไถลไปด้านหน้า แล้วทำการกลับตัวด้วยเท้าขวา นิยมโดยการกลับตัวแบบทรีเทิร์น (3 Turn) ไปด้านหลัง จากคมมีดด้านนอกของเท้าขวา แล้วใช้โทพิกส์เท้าซ้ายจิกพื้นช่วยในการออกตัว บางครั้งนักกีฬาสามารถกลับตัวด้วยเท้าซ้ายก่อน แล้ววางเท้าขวาลงไปขณะเดียวกับที่เคลื่อนเท้าซ้ายออกด้านหลังแล้วจึงค่อยยกเท้าซ้ายขึ้นจิกฟื้นออกตัวเล่นเดิมก็สามารถทำได้ ซึ่งลักษณะเช่นนี้มักแสดงให้เห็นกับนักกีฬาในยุคปัจจุบันมากกว่าการกลับตัวด้วยเท้าขวาแบบแรก ปัจจุบันนักกีฬาชายและหญิงชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 3 รอบได้ และมีนักกีฬาชายชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 4 รอบได้ในการแข่งขัน แต่นักกีฬาหญิงยังไม่มีผู้ใดใช้การหมุน 4 รอบในการแข่งขัน หากแต่ด้วยความเข้มงวดของกติกา และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแข่งขัน ทำให้ผู้ควบคุมทางเทคนิคการเล่น สามารถหักคะแนนความสมบูรณ์ของจำนวนรอบ (Underrotation) ที่ไม่ครบวงรอบได้ง่าย ซึ่งการหักคะแนนลักษณะนี้จะทำให้ผลคะแนนต่ำลงอย่างมาก จึงทำให้ปัจจุบันมีความนิยมน้อยลงสำหรับนักกีฬาชายเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกลดคะแนนพื้นฐานประจำท่า (Base Value)
- ฟลิป (Flip (F)) ออกตัวกระโดดจากด้านหลัง ทรงตัวด้วยคมมีดด้านในของเท้าซ้าย และ ใช้โทพิกส์เท้าขวาช่วยในการออกตัว ปัจจุบันมีนักกีฬาหญิ่งคนเดียวชื่อ Tonya Harding จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่สามารถทำการหมุน 4 รอบสำหรับท่ากระโดดนี้ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1991
- ลัทซ์ หรือ ลุตซ์ (Lutz (Lz)) ออกตัวกระโดดจากด้านหลัง ทรงตัวด้วยคมมีดด้านนอกของเท้าซ้าย และ ใช้โทพิกส์เท้าขวาช่วยในการออกตัว ปัจจุบันนักกีฬาชายและหญิงชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 3 รอบได้ และมีนักกีฬาชายผู้เดียวคือ เยฟกินี ปูเชงโก (Evgeni Plushenko) นำสามารถกระโดดหมุน 4 รอบในการแข่งขันเพียงครั้งเดียวที่ประเทศรัสเซีย หากแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่นักประวัติศาสตร์กีฬาสเกตลีลา เนื่องด้วยการกระโดดครั้งนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ ปัจจุบันจึงยังถือว่าการกระโดดท่านี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถกระโดด 4 รอบได้สำเร็จ และท่านี้ยังถือเป็นท่ากระโดดที่มีคะแนนพื้นฐานประจำท่า (Base Value) ตามกติกาใหม่สูงที่สุดในจำนวนท่าทั้งหมดของการโดดแบบใช้ปลายเท้าหรือ โทจัมพ์ อีกด้วย
การกระโดดใช้คมมีด หรือเอดจ์จัมพ์ (Edge jumps) นั้นจะไม่มีการใช้โทพิกส์ช่วยในการกระโดด ซึ่งหมายถึงนักกีฬาจะโดดขึ้นโดยใช้ใบมีดส่งตัวขึ้นเท่านั้นแบ่งออกเป็น
- ซาลคาว (Salchow (S)) เริ่มออกตัวกระโดดจากการไถลไปด้านหลัง (มักมีการเปลี่ยนการเคลื่อนที่จากด้านหน้าด้วยการกลับตัวแบบ ทรีเทิร์น หรือ โมฮอกค์เทิร์น) จากคมมีดด้านในของเท้าซ้าย และใช้การเหวี่ยงขาที่เหลืออีกข้างเป็นวง ช่วยในการออกตัวกระโดด ปัจจุบันนักกีฬาชายและหญิงชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 3 รอบได้ และมีนักกีฬาชายชั้นนำบางคนสามารถกระโดดหมุน 4 รอบได้ ส่วนนักกีฬาหญิงที่สามารถกระโดดหมุน 4 รอบได้ในการแข่งขันระดับนานาชาติมีคนเดียวคือ อันโดะ มิกิ (Miki Ando) แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรในหมู่นักกีฬาชายหากเทียบกับการโดด 4 รอบของการโดดแบบ "โทลูป" แม้ว่าคะแนนของการโดดแบบซาลคาวจะต่ำที่สุด (ซึ่งหมายถึงเป็นท่าง่ายที่สุด) เมื่อเทียบกับการโดดท่าอื่นก็ตาม เนื่องจากการควบคุมวงรอบให้สมบูรณ์แบบนั้นยากกว่าท่า "โทลูป" จึงทำให้นักกีฬาไม่นิยมบรรจุท่านี้ไว้ในโปรกแกรมการแข่งขันของตน
- ลูป (Loop (Lp)) หรือ ริตซ์เบอร์เกอร์ (Rittberger) ตามชื่อผู้คิดค้นท่า หากแต่ปัจจุบันนิยมเรียกเพียง "ลูป" เท่านั้น เป็นออกตัวกระโดดทางด้านหลัง จากคมมีดด้านนอกของเท้าขวา และ ลงสัมผัสพื้นด้วยคมมีดเดียวกัน ปัจจุบันนักกีฬาชายและหญิงชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 3 รอบได้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ยังไม่มีนักกีฬาคนใดสามารถกระโดดท่าชนิดนี้ 4 รอบในการแข่งขัน
- แอกเซิล (Axel (A)) เป็นท่าการกระโดดเดียวที่กระโดดจากการไถลตัวไปด้านหน้า โดยออกตัวจากคมมีดด้านนอกของเท้าซ้าย เนื่องจากการกระโดดเริ่มออกตัวจากการไถลไปด้านหน้า จึงมีรอบการหมุนตัวเพิ่มขึ้นอีกครึ่งรอบในความเป็นจริง ตัวอย่างเช่นนักกีฬาหญิงระดับชั้นนำจะนิยมโดดหมุน 2 รอบแต่ความเป็นจริงแล้ว นักกีฬาจะต้องหมุน 2 รอบครึ่งในอากาศ จึงทำให้การกระโดดแบบนี้ถือว่าเป็นการกระโดดที่ยากที่สุดในบรรดาการกระโดดทั้ง 6 แบบ การกระโดดในลักษณะเดียวกันนี้แต่หมุนตัวเพียงครึ่งรอบเรียกว่า การกระโดดแบบวอลทซ์ และโดยปกติจะเป็นท่ากระโดดท่าแรก สำหรับผู้เริ่มฝึกสเกต การโดดแบบวอลทซ์นี้ ไม่ถือว่าเป็นการโดดที่มีรอบสมบูรณ์ครบ 360 องศา หากเพียง 180 องศาเท่านั้น ในการแข่งขันจึงไม่ถือเป็นการกระโดด ถือว่าเป็นการกลับตัวชนิดหนึ่งเท่านั้นนักกีฬาบางคนจึงบรรจุท่าวอลทซ์นี้เป็นอีกหนึ่งท่าในการแสดงสเต็บเท้าในการแข่งขัน ปัจจุบันนักกีฬาชายชั้นนำส่วนมากกระโดดหมุน 3 รอบได้ และนักกีฬาหญิงชั้นนำสามารถกระโดดหมุน 2 รอบได้ ยังไม่มีผู้ใดที่กระโดดหมุน 4 รอบได้ ส่วนนักกีฬาหญิงที่สามารถกระโดดหมุน 3 รอบได้ในการแข่งขันระดับนานาชาติมีเพียง 5 คน ท่านี้ถือเป็นท่าบังคับตามกติกาใหม่ กำหนดให้นักกีฬาทุกคนต้องกระโดดอย่างน้อย 2 รอบในการแข่งขันระดับอาชีพ (Senior) ทั้งนักกีฬาชายและหญิง ทั้งในโปรแกรมสั้น และโปรแกรมยาว จะต้องมีการบรรจุท่านี้ในการแข่งขัน
นอกเหนือจากการกระโดดดังกล่าวข้างต้น ยังมีการกระโดแบบอื่นๆ ซึ่งปกติใช้ในการเล่นแบบเดี่ยว ใช้ในการเชื่อมโยงความต่อเนื่องระหว่างท่าต่างๆ หรือใช้ในการเน้นท่าก้าวต่อเนื่อง หรือ "สเต็บซีเคว้นซ์" (Step Sequences) ซึ่งตามกฎของ ISU จะมิได้พิจารณาคะแนนเช่นเดียวกับการกระโดดทั่วไป แต่จะนำไปพิจารณาในคะแนนของการก้าวเท้าต่อเนื่องแทน
- การกระโดดครึ่งลูป (Half loops) ออกตัวกระโดดด้วยคมมีดด้านนอกของเท้าขวาทางด้านหลัง เหมือนกับการกระโดดลูป แต่ลงสัมผัสพื้นบนคมมีดในด้านหลังของเท้าซ้าย บางครั้งนิยมนำเป็นท่าเชื่อมระหว่างการกระโดดแบบเป็นชุด (in sequence)
- การกระโดดวัลลีย์ (en:Walley jump) ออกตัวจากคมมีดในของเท้าขวาด้านหลัง ท่านี้อาจนับได้ว่าเป็นท่าที่ยากกว่าแอกเซิล เนื่องการทิศทางการเคลื่นที่ของคมมีดด้านในนั้นหมุนตามเข็มนาฬิกา ซึ่งสวนทางกับทิศทางการหมุนตัวในอากาศซึ่งทวนเข็มนาฬิกา
- การกระโดดสปลิต (Split jump) เป็นการกระโดหมุนตัวครึ่งรอบตามแบบ ฟลิป ลัทซ์ หรือ ลูป แต่ผู้เล่นจะยืดขาทั้งสองให้แยกออกจากกันให้มากที่สุด ซึ่งมักอยู่ที่ประมาณ 180 องศาระหว่างขาทั้งสอง
- การกระโดดแอกเซิลด้านใน (Inside axel) เป็นการกระโดดหมุนตัวหนึ่งรอบครึ่ง ที่ออกตัวกระโดดทางด้านหน้าจากคมมีดด้านในของเท้าขวา
- การกระโดดแอกเซิลขาเดียว (One-foot axel) เป็นการกระโดดหนึ่งรอบครึ่ง ด้วยการออกตัวแบบเอกเซิล ซึ่งเป็นการออกตัวกระโดดทางด้านหน้าจากคมมีดด้านนอกของเท้าซ้าย แต่ลงสัมผัสพื้นทางด้านหลังบนคมมีดด้านในของเท้าซ้าย
การกระโดดนั้น นอกจากจะแยกกระโดด แยกเป็นท่าเดี่ยว ๆ แล้ว ยังสามารถเป็น การกระโดดแบบต่อเนื่อง หรือ การกระโดดแบบเป็นชุด (in combination or in sequence) หลายท่าได้ โดยมากแล้วการกระโดดแบบเป็นชุด หรือ "คอมบิเนชัน" นั้น มักนิยมโดยการกระโดดใด ๆ ก็ได้ก่อนจากท่าหลักทั้ง 6 แล้วจึงกระโดดตามทันทีหลังจากเท้าขวาสัมผัสพื้นแล้ว โดยมักกระทำท่า โทลูป หรือ ลูป ตามเนื่องจากทั้งสองท่านี้จะกระโดดจากเท้าขวาอยู่แล้ว แต่หากถ้าต้องการกระโดดด้วยท่าที่ต้องกระโดดขึ้นจากเท้าซ้าย มักจะแสดงท่า "ครึ่งลูป" ทันทีที่เท้าขวาสัมผัสพื้นเพื่อปรับเท้าหลักให้ยืนด้วยเท้าซ้ายก่อนจะกระโดดท่าอื่นที่ต้องการต่อไป เรียกการกระโดดต่อเนื่องเช่นนี้ว่า "ซีเคว้นเซส" โดยการกระโดดแบบชุดนั้น นักกีฬาสามารถกระโดดต่อเนื่องกี่ครั้งก็ได้ ตามความสามารถของนักกีฬา ปัจจุบันมักจะพบเห็นการกระโดดแบบคอมบิเนชัน มากกว่าแบบ ซีเคว้นเซส ในการแข่งขัน และการกระโดดแบบเป็นชุดยังเป็นท่าบังคับในการแข่งขันโปรแกรมสั้นประเภทเดี่ยวด้วย