แรกก่อตั้ง ของ สแตนดาร์ดออยล์

จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์ ใน ค.ศ. 1872 หลังจากตั้งสแดนตาร์ดออยล์ได้ไม่นาน

สแตนดาร์ดออยล์เริ่มต้นที่รัฐโอไฮโอในลักษณะหุ้นส่วนระหว่างนักพัฒนาอุตสาหกรรม จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์ กับน้องชาย William Rockefeller, Henry Flagler, นักเคมี Samuel Andrews, หุ้นส่วนไม่ออกเสียง Stephen V. Harkness, และ Oliver Burr Jennings ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติทางการแต่งงานกับตระกูล เมื่อ ค.ศ. 1870 จึงได้จดทะเบียนสแตนดาร์ดออย์ขึ้นเป็นบริษัทในโอไฮโอ มีหุ้นแรกเริ่ม 10,000 หุ้น มีอัตราส่วนการถือหุ้นของผู้ก่อการดังนี้[7]

  • John D. Rockefeller 2,667 หุ้น
  • Harkness 1,334 หุ้น
  • William Rockefeller, Flagler, and Andrews คนละ 1,333 หุ้น
  • Jennings 1,000 หุ้น
  • บริษัท Rockefeller, Andrews & Flagler 1,000 หุ้น

ด้วยกลยุทธทางการค้าที่มีประสิทธิภาพ (ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในภายหลัง) สแตนดาร์ดออยล์ใช้เวลาไม่ถึงสองเดือนใน ค.ศ. 1872 ในการทำลายการแข่งขันทางการค้าในคลีฟแลนด์ และขยายการผูกขาดต่อไปทั่วเขตตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา

เอกสารการจดทะเบียนสแดนดาร์ดออยล์ ลงนามโดย John D. Rockefeller, Henry M. Flagler, Samuel Andrews, Stephen V. Harkness และ William Rockefeller

ในช่วงปีแรก ๆ John D. Rockefeller เป็นผู้นำที่สำคัญที่สุดในบริษัทและเป็นวางรากฐานอุตสาหกรรมน้ำมัน[8] เขาได้กระจายอำนาจและมอบหมายงานด้านนโยบายแก่คณะกรรมการหลายชุดอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด อำนาจถูกรวมไว้ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่คลีฟแลนด์ แต่การตัดสินใจต่างๆ ก็เป็นไปด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย[9]

เพื่อตอบโต้กับกฎหมายระดับรัฐที่พยายามจำกัดขนาดของบริษัท คณะของ Rockefeller จึงสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการองค์กรธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของพวกเขาใหม่ เมื่อวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1882[10] พวกเขารวมบริษัทย่อยในต่างรัฐนับสิบรัฐเข้าเป็นกลุ่มรวมกันผูกขาด และด้วยสัญญาลับ ผู้ถือหุ้นทั้ง 37 รายได้มอบหุ้นให้แก่ทรัสตีเก้าราย ได้แก่ John Rockefeller, William Rockefeller, Oliver H. Payne, Charles Pratt, Henry Flagler, John D. Archbold, William G. Warden, Jabez Bostwick, และ Benjamin Brewster[11] วิธีการตั้ง "การรวมกันผูกขาด" นี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่างอื่นก็ยึดเอาเป็นแบบอย่าง

โรงกลั่นสแตนดาร์ดออยล์หมายเลข 1 ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ค.ศ. 1897

สแตนดาร์ดออยล์เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยการเพิ่มยอดขายและเข้าซื้อกิจการ หลักจากเข้าซื้อกิจการ Rockefeller จะปิดบริษัทที่เขาเชื่อว่าไม่มีประสิทธิภาพและเก็บส่วนที่ดีเอาไว้ บริษัทเล็กประณามว่าสัญญาระหว่างสแตนดาร์ดออยล์กับผู้ขนส่งไม่เป็นธรรมเพราะว่าบริษัทพวกเขาไม่มีโอกาสผลิตน้ำมันได้มากเพียงพอที่จะรับส่วนลด

ด้วยการกระทำต่าง ๆ ของสแดนดาร์ดออยล์และสัญญาลับด้านการขนส่ง[12] ทำให้ราคาน้ำมันก๊าดลดลงจาก 58 เซ็นต์เหลือเพียง 26 เซ็นต์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1865 ถึง 1870 คู่แข่งต่างเกลียดชังพฤติกรรมของสแดนตาร์ดออยล์ แต่ผู้บริโภคชอบราคาที่ถูกกว่า สแดนดาร์ดออลย์ก่อตั้งก่อนการค้นพบแหล่งน้ำมัน Spindletop และก่อนความต้องการใช้น้ำมันเพื่อประโยชน์อย่างอื่นนอกจากความร้อนและแสงสว่าง จึงเป็นเหตุให้บริษัทควบคุมธุรกิจนี้ไว้ได้อย่างดี และในสายตาของผู้อื่นสแดนดาร์ดออยล์ก็ป็นเจ้าของและผู้ควบคุมธุรกิจน้ำมันทุกด้าน

เมื่อ ค.ศ. 1885 บริษัทย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ไปยังสำนักงานใหญ่ถาวรแห่งใหม่ที่ 26 Broadway ในนครนิวยอร์ก และในเวลาเดียวกัน ทรัสตีของสแตนดาร์ดออลย์แห่งโอไฮโอก็มอบอำนาจให้ Standard Oil Co. of New Jersey (SOCNJ) เพื่อถือเอาประโยชน์แห่งกฎหมายควบคุมการถือหุ้นที่ผ่อนปรนกว่าของนิวเจอร์ซีย์

เมื่อ ค.ศ. 1890 รัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกาออกกฎหมาย Sherman Antitrust Act ซึ่งเป็นต้นฉบับของกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐอเมริกาทุกฉบับในเวลาต่อมา กฎหมายนี้ห้ามสัญญา วิธีการ ข้อตกลง หรือการสมคบคิดที่จะทำให้มีการจำกัดกีดกันทางการค้า ("restraint of trade") ซึ่งคำนี้ยังต้องมีการตีความต่อไป กลุ่มสแตนดาร์ดออลย์เป็นธุรกิจที่ถูกเพ่งเล็งจากภาครัฐทันทีและนำไปสู่คดีที่ฟ้องร้องโดยอัยการโอไฮโอ David K. Watson

ใกล้เคียง

สแตนด์บายมี โดราเอมอน เพื่อนกันตลอดไป สแตนดาร์ดออยล์ สแตนด์บายมี แด่เราและเพื่อน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สแตนด์บายมี โดราเอมอน เพื่อนกันตลอดไป 2 สแตนดาร์ดเกจ สแตนด์แอนด์ซิงออฟแซมเบีย พราวด์แอนฟรี สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส สแตนด์นิวส์ สแตนด์บาย

แหล่งที่มา

WikiPedia: สแตนดาร์ดออยล์ http://www.buyandhold.com/bh/en/education/history/... http://www.dadyer.com/Economic%20Readings/witchhun... http://www.exxonmobil.com/Corporate/history/about_... http://books.google.com/books?id=DVA2Hdri9XsC http://books.google.com/books?id=ZqtTdEcT0iAC http://books.google.com/books?vid=ISBN0766167291 http://www.oil150.com/essays/2007/02/jacob-vanderg... http://www.pagetutor.com/standard/index.html http://www.us-highways.com/sohist1911.htm http://www.us-highways.com/soworld.htm