ประวัติสโมสร ของ สโมสรฟุตบอลเชียงราย_ยูไนเต็ด

การก่อตั้งและการเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด

สโมสรก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2552 โดยใช้ชื่อว่า "สโมสรฟุตบอลเชียงราย ยูไนเต็ด" มีนายมิตติ ติยะไพรัชเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานสโมสร ซึ่งนายมิตตินั้นมีความชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมาแต่เดิมและต้องการมีสโมสรฟุตบอลเป็นของตนเอง ประจวบกับการเกิดขึ้นของลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ในปีพ.ศ. 2552 นายมิตติจึงตัดสินใจส่งทีมลงแข่งขันในปีนั้นในฐานะทีมฟุตบอลของจังหวัดเชียงราย และได้เลือกใช้ "กว่างโซ้ง" เป็นสัญลักษณ์ทีม สื่อถึงความเป็นนักสู้ และใช้สีส้มเป็นเสื้อทีมเหย้า ในช่วงแรกนั้นการบริหารทีมเป็นไปอย่างลำบากเนื่องจากคนในจังหวัดยังไม่ตื่นตัวกับฟุตบอลไทยมากนัก แต่การคุมทีมของ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ได้ช่วยให้สโมสรมีผลงานในสนามที่น่าพอใจและเริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น สามารถจบอันดับหนึ่งของตารางลีกภูมิภาค ภาคเหนือ ด้วยสถิติไร้พ่าย ก่อนจะจบอันดับที่ 2 ในรอบเพลย์ออฟ และได้สิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ไทยลีกดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล พ.ศ. 2553

ในลีกดิวิชั่น 1 นั้น เชียงราย ยูไนเต็ด เริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างไม่ดีนักเนื่องจากโค้ชธวัชชัยได้ย้ายไปคุมทีมพัทยา ยูไนเต็ด ทำให้ทีมในช่วงแรกนั้นยังไม่สามารถทำผลงานได้ดี อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนตัวผู้ฝึกสอนบ่อย อย่างไรก็ตาม นายมิตติได้ตัดสินใจเลือก สเตฟาโน คูกูรา ผู้ฝึกสอนชาวบราซิลเข้ามาคุมทีมในช่วงกลางฤดูกาล ภายใต้การคุมทีมของคูกูรา เชียงราย ยูไนเต็ดสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จากอันดับที่ 13 ของตารางขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่สาม ทำให้ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2554 เป็นทีมสุดท้ายของปี

ช่วงเวลาในไทยพรีเมียร์ลีก

แม้จะเป็นทีมใหม่ในลีกสูงสุดของประเทศ แต่เชียงราย ยูไนเต็ดก็สามารถทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะผลงานการเล่นในฐานะทีมเหย้า โดยมีนักฟุตบอลอย่างวสันต์ นาทะสันและลีอังดรู อัสซัมเซาเป็นคู่กองหน้าตัวความหวังของทีม อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2554 เชียงราย ยูไนเต็ดกลับประสบปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะในเรื่องสนามแข่งขัน ที่ต้องย้ายสนามเหย้าบ่อยครั้งเนื่องจากปัญหาจากความล่าช้าในการปรับปรุงสนามกีฬากลางขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและปัญหาเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นเหตุให้เชียงราย ยูไนเต็ดไม่สามารถใช้สนามทั้งสองได้ ทำให้สโมสรจำเป็นต้องย้ายไปใช้สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปีอยู่ระยะหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อรายได้ของสโมสรอย่างหนัก แต่ด้วยการเรียกร้องของชาวเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงอนุญาตให้สโมสรสามารถใช้สนามของมหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง หลังประสบปัญหาดังกล่าว นายยงยุทธ ติยะไพรัชผู้เป็นพ่อของนายมิตติได้เข้ามาช่วยเหลือด้วยการสนับสนุนให้ทีมมีสนามเป็นของตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้เริ่มมีการก่อสร้างสนามเหย้าขึ้นบนที่ดินใกล้กันกับสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย แม้จะมีปัญหามากมาย แต่เชียงรายยูไนเต็ดก็สามารถจบฤดูกาลได้ด้วยอันดับที่ 10 ของตารางได้

ในฤดูกาล 2555 สนามยูไนเต็ด สเตเดียม ได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการ และได้รับการตอบรับจากแฟนบอลอย่างกว้างขวาง โดยเชียงรายจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 9 อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2556 เชียงราย ยูไนเต็ดกลับประสบปัญหาในเรื่องฟอร์มการแข่งขันที่ย่ำแย่ ทำให้ทีมต้องอยู่อันดับในโซนตกชั้นอยู่เป็นเวลานาน แม้จะมีการปลด สเตฟาโน คูกูรา ออกแล้วแต่การคุมทีมของ เฮงค์ วิสมัน ผู้ฝึกสอนชาวฮอลแลนด์ ก็ไม่สามารถพาทีมทำผลงานได้ดีขึ้นได้แต่อย่างใด เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาล เชียงราย ยูไนเต็ดจึงได้ อนุรักษ์ ศรีเกิด เข้ามาช่วยแก้วิกฤตและรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2557-2559 อดีตนักเตะของเชียงราย ยูไนเต็ดอย่างธีรศักดิ์ โพธิ์อ้น ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้ฝึกสอน มีแนวทางการทำทีมที่เน้นการพัฒนาเยาวชน ซึ่งหนึ่งในเยาวชนอย่างเอกนิษฐ์ ปัญญา ก็สามารถสร้างสถิติเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ ณ ขณะนั้น ตลอดช่วงสามปีของการคุมทีมของธีรศักดิ์ เชียงราย ยูไนเต็ดยังคงเกาะอยู่ในกลุ่มกลางตารางได้อย่างต่อเนื่อง

เชียงราย ยูไนเต็ดภายใต้การสนับสนุนของ สิงห์

ในฤดูกาล 2559 สิงห์ปาร์ค ของบริษัทสิงห์ ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของทีม ทำให้เชียงราย ยูไนเต็ดเริ่มมีเงินทุนในการพัฒนาทีมมากขึ้น โดยสามารถดึงนักเตะชื่อดังอย่างฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์เข้ามาร่วมทีมได้ เมื่อจบฤดูกาล สโมสรได้แยกทางกับธีรศักดิ์ โพธ์อ้น และได้แต่งตั้งอาเลชังดรี กามา อดีตผู้ฝึกสอนของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเข้ามาเป็นผู้ฝึกสอน ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560 นาย มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวยืนยันว่าได้ทำการเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น สโมสรฟุตบอลสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด [2] รวมถึงเปลี่ยนชื่อสนามเป็นสิงห์ สเตเดียม เนื่องจากได้ผลิตภัณฑ์สิงห์เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก โดยในฤดูกาล 2560 เชียงราย ยูไนเต็ดได้ยกระดับทีมขึ้นมาเป็นทีมเจ้าบุญทุ่มอย่างเต็มตัวด้วยงบการทำทีมกว่า 300 ล้านบาท ได้มีซื้อตัวนักฟุตบอลชื่อดังและสามารถดึงตัวผู้เล่นระดับแถวหน้า อาทิ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ เข้าทีมมาด้วยค่าตัว 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าตัวนักเตะไทยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ฤดูกาล 2560 ภายใต้การคุมทีมของกามา เชียงราย ยูไนเต็ดสามารถทำผลงานได้ดีกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยสามารถจบฤดูกาลได้ในอันดับที่ 4 ได้ตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลรายการโตโยต้า ลีกคัพ และคว้าแชมป์ช้าง เอฟเอคัพ มาครองได้สำเร็จเป็นแชมป์แรกในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการเอาชนะทีมแบ็งค็อก ยูไนเต็ดไป 4-2 พร้อมได้สิทธิ์ในการเล่นรอบเพลย์ออฟรายการเอเอฟซี แชมป์เปียนลีก ฤดูกาลถัดไป และแม้ในฤดูกาล 2561 นั้น เชียงราย ยูไนเต็ดจะประสบปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การที่ผู้เล่นตัวหลักทั้ง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ และ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ย้ายออกจากทีม การลาออกของรองประธานสโมสรผู้เป็นกำลังหลักในการบริหารอย่าง ธนพล วิระเทพสุภรณ์ หรือแม้แต่การที่ทีมไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาในฟุตบอลลีกได้ แต่เชียงราย ยูไนเต็ดก็ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นในฟุตบอลถ้วยได้อย่างยอดเยี่ยมจนสร้างประวัติศาสตร์คว้า "ทริปเปิลแชมป์" ได้เป็นครั้งแรกของสโมสร (ช้าง เอฟเอคัพ, โตโยต้า ลีกคัพ และ ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ) ก่อนที่ทางสโมสรจะตัดสินใจแยกทางกับอาเลชังดรี กามาในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งเป็นนัดที่เชียงราย ยูไนเต็ดเอาชนะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดไปได้ 3-2 และสามารถป้องกันแชมป์ช้าง เอฟเอคัพ พร้อมรับสิทธิ์ไปเล่นรอบเพลย์ออฟรายการเอเอฟซี แชมป์เปียนลีกได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน

ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2562 นายมิตติ ติยะไพรัชได้ตัดสินใจสละตำแหน่งประธานสโมสรให้แก่นางสาวปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช ผู้เป็นน้องสาว เนื่องจากตนต้องการทำงานด้านการเมืองกับทางพรรคไทยรักษาชาติ อย่างเต็มที่ ก่อนจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีและกลับเข้ามารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของสโมสรในภายหลัง เมื่อฤดูกาล 2562 เปิดฉากขึ้น เชียงราย ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของผู้ฝึกสอนคนใหม่อย่าง ไอล์ตัน ซิลวา ก็สามารถทำผลงานได้ดีและสม่ำเสมอกว่าในฤดูกาลที่ผ่านมา แม้จะตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ แต่ก็ยังคงสามารถรักษาผลงานในลีกได้จนก้าวขึ้นมาเบียดแย่งตำแหน่งจ่าฝูงกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในช่วงท้ายของการแข่งขัน ซึ่งระยะห่างของคะแนนที่สูสีนี้ทำให้ต้องมีการตัดสินแชมป์กันจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล โดยก่อนการแข่งขันนัดสุดท้ายนั้น เชียงราย ยูไนเต็ดมีคะแนนทั้งหมด 55 แต้ม ในขณะที่ทางบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดมีคะแนนรวม 57 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงของลีก แต่เมื่อจบการแข่งขันนัดสุดท้าย ทั้งสองทีมกลับมีเท่ากันที่ 58 แต้ม เนื่องจากเชียงราย ยูไนเต็ดสามารถเอาชนะสุพรรณบุรี เอฟซี ไปได้ 5–2 ส่วนบุรีรัมย์กลับพลาดท่าเสมอกับสโมสรเชียงใหม่ เอฟซี 1-1 เมื่อคะแนนของทั้งสองทีมเท่ากัน จึงจำเป็นต้องมีการตัดสินด้วยกฏเฮดทูเฮด ซึ่งเชียงรายนั้นมีเฮดทูเฮดที่ดีกว่าบุรีรัมย์ (เสมอ 0-0 ในเกมเยือน และชนะ 4-0 ในเกมเหย้า) ทำให้เชียงราย ยูไนเต็ดพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ไทยลีกสมัยแรกมาครองได้สำเร็จในที่สุด

ใกล้เคียง

สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรฟุตบอลเชลซี สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล