พลตรี หลวงชำนาญยุทธศิลป์ อดีตนายทหารบกผู้เป็นหนึ่งใน
คณะราษฎร ผู้ทำ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐการ
[1] ผู้ต้องหาในคดี
กบฏพระยาทรงสุรเดช และเป็นต้นตระกูลรมยะนันทน์โดยได้ขอพระราชทานนามสกุลจาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับหมวดโรงเรียนนายร้อยชั้นปฐมและได้รับพระราชทานเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2460 เป็นลำดับที่ ๔๒๖๕
[2]หลวงชำนาญยุทธศิลป์ มีชื่อจริงว่า
เชย รมยะนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2437 เมื่อกำเนิดเป็นเด็กที่กำพร้าบิดา จึงมีความอุตสาหะในการเรียนเป็นอย่างมาก ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจาก
โรงเรียนเทพศิรินทร์เป็นเวลา 4 ปี จากนั้นเมื่ออายุ 13 ปีจึงได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมศึกษาราชบูรณะ (
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย) เป็นเวลา 4 ปี จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2452
[3]ต่อมาเมื่อรับราชการเป็นทหารบก ในขณะที่มียศ
ร้อยเอก (ร.อ.) สังกัด
โรงเรียนนายร้อยทหารบก หลวงชำนาญยุทธศิลป์ ได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร ที่ประกอบไปด้วยพลเรือน, ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการทหารทั้งทหารบกและทหารเรือ กระทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยบทบาทของหลวงชำนาญยุทธศิลป์ ได้ไปพบกับคณะของ
พระยาทรงสุรเดช ซึ่งเป็นเสนาธิการผู้วางแผนการทั้งหมดในการปฏิวัติ ที่บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ ย่านสะพานควาย ห่างจากบ้านของพระยาทรงสุรเดชไปราว 200 เมตร ซึ่งเป็นตำบลนัดพบ ในเวลา 05.00 น. จากนั้นทั้งหมดจึงได้เดินทางไปยัง
กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม.1 รอ.) ที่สี่แยกเกียกกาย เพื่อลวงเอากำลังทหารและยุทโธปกรณ์มาใช้ในการปฏิวัติ โดย หลวงชำนาญยุทธศิลป์ ได้ขึ้นไปยังโรงนอนของพลทหารม้า พร้อมกับหลวงรณสิทธิชัย และหลวงสวัสดิ์รณรงค์ เพื่อปลุกทหารให้ตื่นด้วยการตะโกนเสียงดังเนื้อหาว่า เวลานี้เกิดกบฏขึ้นแล้ว ยังมัวนอนอยู่อีก ให้ลุกขึ้นแต่งตัว โดยไม่ต้องล้างหน้า จึงทำให้ได้กำลังทหารมาทำให้การปฏิวัติสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จากนั้นที่บริเวณ
ลานพระบรมรูปทรงม้า หน้า
พระที่นั่งอนันตสมาคม อันเป็นฐานบัญชาการของคณะราษฎร หลวงชำนาญยุทธศิลป์ยังเป็นผู้อ่านคำประกาศฉบับต่าง ๆ ของคณะราษฎรให้แก่ราษฎรที่ออกมาดูเหตุการณ์ด้วย
[3]หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลวงชำนาญยุทธศิลป์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรี (ลอย) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐการถึง 2 สมัย ในสมัยที่
พระยาพหลพลหยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มให้มีการก่อตั้ง
โรงงานยาสูบขึ้นด้วย ในปี
พ.ศ. 2482 โดยมีสถานะเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบเป็นคนแรกด้วย
[4][5]อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์
กบฏบวรเดช เมื่อ
พ.ศ. 2476 หลวงชำนาญยุทธศิลป์ยังมีหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารกองหนุน มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบรวมไปจนถึงกำลังทหารราบ และปืนกลหนักต่าง ๆ ด้วยทุกกองพันในพื้นที่จังหวัดพระนครจากนั้นเมื่อ พันเอก
แปลก พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นเพื่อนนายทหารผู้ร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยกัน ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปลายปี
พ.ศ. 2481 ด้วยความขัดแย้งกับพระยาทรงสุรเดช ซึ่งมีมาตั้งแต่ก่อตั้งคณะราษฎรด้วยกันแต่เริ่มต้น จึงเกิดมีการจับกุมนักการเมือง และบุคคลสำคัญต่าง ๆ ขึ้นในข้อหาลอบสังหารนายกรัฐมนตรี เช่น ร้อยโท
ณเณร ตาละลักษณ์, นาย
โชติ คุ้มพันธ์, นาย
เลียง ไชยกาล,
พระยาเทพหัสดิน อดีตแม่ทัพใน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หรือแม้กระทั่ง
พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ซึ่งหลวงชำนาญยุทธศิลป์เองก็ถูกจับในข้อหานี้ด้วยเช่นกัน โดยถูกให้ออกจากราชการโดยไม่มีเบี้ยหวัด ขณะที่ตัวของหลวงชำนาญยุทธศิลป์กำลังไปราชการที่
ประเทศอังกฤษ และเมื่อเดินทางกลับมาถึงที่
สถานีรถไฟหัวลำโพงก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ซึ่งขณะที่ถูกจองจำนั้นอยู่นั้น หลวงชำนาญยุทธศิลป์ยังกล่าวกับนักโทษคนอื่น ๆ ซึ่งร่วมคดีเดียวกันว่า คงเกิดความเข้าใจผิดระหว่างรัฐบาลกับตนเอง
[6]ท้ายที่สุด หลวงชำนาญยุทธศิลป์ ได้ถูกย้ายไปจองจำที่
เรือนจำบางขวางเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2482 พร้อมกับนักโทษคนอื่น ๆ ก่อนถูกตัดสินให้ถูก
ประหารชีวิตในปลายปีเดียวกัน แต่ได้ถูกลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกับ พระยาเทพหัสดิน เนื่องจากเคยเป็นผู้ที่ความดีความชอบแก่ประเทศมาก่อน โดยถูกจองจำเดี่ยวในห้องขังหมายเลข 38 ที่แดน 6 อันเป็นห้องสุดท้ายติดกับบันได ซึ่งก่อนที่นักโทษประหารชุดต่าง ๆ จะถูกนำตัวไปประหารด้วยการยิงเป้าในเช้าตรู่ของแต่ละวัน รวมเป็นเวลา 3 วัน ต่างได้มาร่ำลาหลวงชำนาญยุทธศิลป์ ถึงหน้าห้องขัง เช่นเดียวกับพระยาเทพหัสดิน ด้วยความที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชามาก่อน
[6]หลังการพ้นจากตำแหน่งของ พ.อ.แปลก ในกลางปี พ.ศ. 2487 เมื่อ นาย
ควง อภัยวงศ์ ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน นักโทษทางการเมืองคดีต่าง ๆ ต่างได้รับการปลดปล่อยตัว หลวงชำนาญยุทธศิลป์ก็ได้รับการปล่อยตัวด้วย และออกมาใช้ชีวิตอย่างสงบ ได้รับพระราชทานยศสูงสุดเป็น
พลตรี (พล.ต.) จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2499 สิริอายุได้ 62 ปี โดยมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2501