ประวัติ ของ หลวงพ่อโอภาสี

หลวงพ่อโอภาสี หรือ พระมหาชวน (พ.ศ. 2441 - 31 ตุลาคม พ.ศ. 2498) ท่านเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. 2441 ต่อมาเมื่ออายุ 5 ปี ท่านได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ของพระครูนนท์ จรรยาวัตต์ เจ้าอาวาสวัดนันทาราม อ. ปากพนัง [1] และในขณะที่ท่านบรรพชา ท่านก็ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมประกอบไปด้วยกัน ท่านเป็นลูกศิษย์เอกรูปหนึ่งของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ไม่นาน ท่านก็ลาพ่อแม่เดินทางมาศึกษาต่อยังกรุงเทพฯ ถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรฌานวงศ์ซึ่งได้รับไว้ในพระอุปการะ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เป็นพระอุปัชขฌาย์เช่นกัน ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมช่วงหนึ่งจนกระทั่งสอบได้เปรียญ 3 ประโยคจนถึงเปรียญ 7 ประโยค ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 ท่านได้ออกจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร ท่านได้ออกธุดงค์ต่อไปยังจังหวัดต่างๆ และได้ไปปักกลดอยู่ที่ของนายเนียม คหบดี ผู้เป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ในช่วงเวลานั้น ท่านก็ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หรือทำกิจของสงฆ์ ชาวบ้านในละแวกนั้นเรียกนามใหม่ท่านว่า หลวงพ่อโอภาสี และประชาชนก็ช่วยกันสร้างกุฎหรือถวายจัตตุปัจจัยเพื่อสร้างวัดป้องกันแดดและฝน หลวงพ่อท่านได้นำจตุปัจจัยทั้งหมดที่ประชาชนนำมาถวายนำไปเผาทิ้งในกองไฟ ซึ่งท่านได้สอนประชาชนว่า การที่เรานำเพลิงเผาจตุปัจจัยเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนการดับเผาจิตใจความรัก โลภ โกรธ หลง ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปจากชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นท่านจึงไม่ยึดติดใดๆในวัตถุและตั้งใจศึกษาพระธรรมตั้งแต่ครองสมณเพศ และสามารถตัดกิเลสได้ ไม่ยึดติดเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ [2] สมัยสงครามอินโดจีน พระเกจิอาจารย์จะปลุกเสกวัตถุมงคลมากมายที่มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยสำหรับวัตถุมงคลในตอนนั้นของท่านคือ ผ้าประเจียด เป็นวัตถุมงคลที่ดังในสมัยนั้น เชื่อกันว่าสิ่งนั้นจะคุ้มครองทหารไทยในการต่อสู้ในสงคราม และพระเครื่องนั้นผู้ที่บูชาจะต้องเป็นคนที่รักษาศีลธรรมด้วย วัตถุมงคลของท่านก็จะมีเพียงรุ่นเดียวคือ เหรียญครุฑแยกเสมา ประชาชนและลูกศิษย์ของท่านต่างเคราพหลวงพ่อท่านเป็นอย่างมาก บทสวดมนต์หรือคาถาของท่านก็สำหรับให้ประชาชนและลูกศิษย์ลูกหาสวดเพื่อเดินทางไปไหนจะได้ปลอดภัย และมีสิริมงคลในชีวิต ขอเพียงเรายึดมั่นในความดี และท่านก็มีคติคำสอนอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อนจะหลับไปแต่ละวัน ขอให้ทุกคนนึกถึงความดีที่ตนเองทำไปในแต่ละวันด้วย หลวงพ่อโอภาสีได้ถึงแก่มรณภาพลงในวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ในขณะที่พุทธสมาคมแห่งประเทศอินเดียได้ทำจดหมายนิมนต์หลวงพ่อโอภาสีไปนมัสการสังเวชนียสถาน และให้ญาติโยมได้นมัสการอย่างใกล้ชิด จึงทำให้กำหนดการทุกอย่างของงานต้องยกเลิกลงไป ถึงแม้ท่านจะมรณภาพไปนานกว่า 60 ปีแล้วก็ตาม แต่ประชาชนและลูกศิษย์ลูกหาก็ไม่เคยลืมเลือน และยังแสดงความกตัญญูจัดงานสรงน้ำรูปหล่อท่านเป็นประจำ และประชาชนก็เชื่อว่า หลวงพ่อท่านไม่เคยไปไหนเลย ท่านจะอยู่คุ้มครองพวกเราตลอดไป สังขารของหลวงพ่อท่านก็ยังคงอยู่ในสวนอาศรมบางมด มีพุทธศาสนิกชนผู้เคารพศรัทธาไปกราบไหว้บูชามิได้ขาด ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ [3]

ใกล้เคียง