อมราวดีสถูป หรือ
อมราวตีสถูป (
อักษรโรมัน: Amarāvati Stupa) เป็นซาก
สถูปใน
ศาสนาพุทธตั้งอยูที่หมู่บ้าน
อมราวตี รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดีย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในระหว่าง 300 ปีก่อนคริสต์กาลถึงราวปี ค.ศ. 250 จากนั้นมีการขยับขยายและสร้างใหม่ขึ้นทับในราวปี ค.ศ. 50
[1] ปัจจุบัน อมราวตีสถูปและพิพิธภัณฑ์โบราณคดี อมราวตีสถูป อยู่ภายใต้การดูแลของ
กรมสำรวจโบราณคดีอินเดีย[2]ประติมากรรมสำคัญที่หลงเหลือจากสถูปในปัจจุบันกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ในอินเดียและต่างประเทศ จำนวนมากเสียหายพอสมควร ประติมากรรมส่วนใหญ่เป็นชิ้นงานนูนต่ำและไม่พบพระพุทธรูปขนาดมหึมา กระนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าในอดีตเคยมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่หรือไม่ ประติมากรรมส่วนใหญ่ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์รัฐบาลเมือง
เจนไน, พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอมราวตีสถูป และ "
หินอ่อนอมราวตี" ใน
พิพิธภัณฑ์บริติชที่
ลอนดอน ส่วนที่เหลือกระจัดกระจายกันไป
[3]นักประวัติศาสตร์ศิลป์ถือว่าอมราวตีสถูปเป็นหนึ่งในสามรูปแบบศิลปกรรมอินเดียในยุคโบราณ อีกสองรูปแบบคือ
มถุรา และ
คันธาระ (กรีก-พุทธ)[4] เนื่องจากการค้าขายทางทะเลและการเผยแผ่ศาสนา รูปแบบศิลปะอมราวตีดังที่ปรากฏที่อมราวตีสถูปนี้ ยังปรากฏในอีกหลายแหล่งโบราณคดีในอินเดียตะวันออก ไปจนถึงอินเดียใต้ ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
[5]อมราวตีสถูป โดยเฉพาะในรูปแบบเดิมก่อนเสียหาย ได้รับการยกย่องให้เป็น "อนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียแถบที่นับถือพุทธ"
[6] และ "เพชรยอดมงกุฎของศิลปะอินเดียยุคแรก"
[7] ชื่อ "อมราวตี" นี้เป็นชื่อที่ค่อนข้างใหม่ และมีที่มาจาก อมเรศวรลิงคสวามินเทวาลัย (Amareśvara Liṅgasvāmin temple) ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 อันตั้งอยู่ใกล้กันและกลายมาเป็นชื่อของหมู่บ้านและสถูปนี้
[8] นิคมโบราณที่ปัจจุบันไม่ไกลนักจากหมู่บ้าน
อมราวตี คือ
ธารณีโกฏ ซึ่งในอดีตมีความสำคัญยิ่ง เป็นไปได้ว่าอาจเป็นราชธานีในสมัยนั้น หลักฐานแปลนและแผนที่เก่าแก่ที่สุดที่บ่งบอกถึงอมราวตีสถูปปรากฏในแผนที่ของ
คอลิน แม๊กคินซี เขียนขึ้นในปี 1816 ระบุชื่อสถูปนี้ว่า ทีปลทิมมะ (deepaladimma) "เขาแห่งแสง"
[9] ในเอกสารโบราณไม่ได้เรียกที่นี่ว่าเป็นสถูป แต่เรียกว่าเป็น "มหาเจดีย์" (mahācetiya)
[10]