แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

ยานูไซเริ่มต้นอาชีพกับบรัสเซลล์ แต่ได้ย้ายไปร่วมกับทีมอันเดอร์เลคต์ ในปี ค.ศ. 2005 ขณะอายุ 10 ขวบ[5] เขาได้ออกจากทีมมายังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 2011 ขณะอายุ 16 ปี หลังจากแสดงลีลาทักษะการเล่นที่น่าประทับ[6]

ในช่วงท้ายฤดูกาล 2012–13 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เรียกตัวเขาขึ้นเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ โดยสวมเสื้อหมายเลข 44 แต่เขาก็ไม่รู้อนาคตของตัวเองอีกต่อไป เนื่องจากเซอร์ อเล็กซ์ ได้เกษียณในการคุมสโมสรนัดสุดท้ายกับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน[7]

ยานูไซเคยได้รับรางวัลผู้เล่นชุดสำรองแห่งปี ค.ศ. 2013 ในขณะที่เขามีอายุ 18 ปี[8] ซึ่งเขาได้ลงเล่นกับชุดใหญ่ครั้งแรกในการแข่งขันนัดกระชับมิตรก่อนเปิดฤดูกาล 2013–14 และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เล่นดีที่สุด และยังสามารถทำประตูได้อีกด้วย ยานูไซลงเล่นในนัดการแข่งขันเป็นที่ระลึกของริโอ เฟอร์ดินานด์ ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแพ้เซบิยา 3–1[9]

ฤดูกาล 2013–14

ฤดูกาล 2014–15

เริ่มต้นฤดูกาล 2014–15 ยานูไซได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อเป็นเบอร์ 11 ซึ่งเป็นเบอร์เดิมของไรอัน กิกส์ ที่ได้เกษียณไป[10] ยานูไซลงเล่นครั้งแรกในฐานะตัวสำรองในเกมนัดแรก ซึ่งเปิดบ้านพ่ายให้กับสวอนซีซิตี 1–2[11] เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในเกมที่เสมอกับเวสต์บรอมมิชอัลเบียน 2–2 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2014[12]

ฤดูกาล 2015–16

ยืมตัวไปโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ยานูไซได้ถูกยืมตัวไปยังโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ สโมสรจากเยอรมันด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาล[13] เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2016 เขาได้ถูกเรียกตัวกลับมายังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังจากที่ลงเล่นได้เพียง 6 นัด เริ่มต้นเป็นตัวจริง 3 นัด ในครึ่งแรกของฤดูกาล[14]

ยืมตัวไปซันเดอร์แลนด์

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2016 ยานูไซเซ็นสัญญากับทีมซันเดอร์แลนด์ ด้วยสัญญายืมตัวทั้งฤดูกาล โดยร่วมงานกับเดวิด มอยส์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาก่อน[15] ในวันถัดมา ยานูไซลงเล่นให้กับทีมครั้งแรกในนัดเปิดสนามพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี 2–1[16] และยิงประตูครั้งแรกให้กับทีมในเกมนัดที่สามของเขาพบกับชรูว์สบิวรีทาวน์[17]