ระหว่าง
การรุกรานยูเครนของรัสเซีย พ.ศ. 2565 ทางการและกองทัพรัสเซียถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามโดยเจตนาโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือน
[1][2][3] และการโจมตีพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นโดยไม่เลือก
[4][5][6] กองทัพรัสเซียถูกกล่าวหาว่าทำให้ประชากรพลเรือนต้องได้รับภยันตรายที่ไม่จำเป็นและไม่ได้สัดส่วนโดยใช้กระสุนบรรจุระเบิดพวง ซึ่งเป็นอาวุธที่ 110 รัฐห้ามใช้
[7] เพราะเป็นอันตรายทันทีและในระยะยาวต่อพลเรือน
[8][9][10] และโดยการยิงอาวุธระเบิดอื่นที่มีผลเป็นวงกว้าง เช่น ระเบิดที่ทิ้งจากอากาศ ขีปนาวุธ กระสุนปืนใหญ่หนัก และจรวดที่ยิงคราวละหลาย ๆ ลูก ผลของการโจมตีของกองทัพรัสเซียคือความเสียหายหรือการทำลายล้างซึ่งอาคารพลเรือน รวมทั้งบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อาคารประวัติศาสตร์และโบสถ์
[11][12] ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศยังระบุว่ามีหลักฐานที่บ่งชี้ว่ารัสเซียกำลังพุ่งเป้าไปยังโรงพยาบาลของยูเครนทั่วประเทศอย่างเจตนา
[13]ข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน พบว่าการรุกรานนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นพลเรือนอย่างน้อย 2,829 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 3,180 คน
[14]เดอะการ์เดียน รายงานว่า หลังรัสเซียถอนกำลังออกจากพื้นที่ทางเหนือของกรุงเคียฟ มี "หลักฐานกองพะเนิน" ถึงการข่มขืนกระทำชำเรา ทรมานและการประหารชีวิตอย่างรวบรัดต่อพลเรือนยูเครนโดยกองทัพรัสเซีย
[15] มีการกล่าวหาว่าพลเรือนยูเครนถูกบังคับเนรเทศจากมารีอูปอลในการควบคุมของรัสเซียไปยังประเทศรัสเซีย
[16] รวมทั้งเด็ก
[17] มีความรุนแรงทางเพศอย่างเป็นระบบและขนานใหญ่
[18][19] และมีการฆ่าพลเรือนยูเครนโดยกองกำลังรัสเซียโดยเจตนา
[20] ปลายเดือนมีนาคมหลังยูเครนยึดเมืองบูชาซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงเคียฟคืนได้ มีการพบหลักฐานว่ามี
การสังหารหมู่โดยกองกำลังรัสเซีย รวมทั้งการทรมานและการฆ่าโดยเจตนา
[21][22][23] ตำรวจกรุงเคียฟระบุว่าพบศพพลเรือนกว่า 900 ศพในภูมิภาคเคียฟหลังกองกำลังรัสเซียถอยออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ถูกประหารชีวิตอย่างรวบรัด
[24] และคณะผู้แทนเฝ้าสังเกตสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในยูเครนจดบันทึกการฆ่าพลเรือนอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย 50 คนในบูชา
[25] ในเดือนแรกของการรุกราน คณะผู้แทนฯ ยังได้จดบันทึกการกักขังนักหนังสือพิมพ์ นักเคลื่อนไหว และข้าราชการยูเครนโดยพลการในดินแดนที่รัสเซียยึดครอง
[26][9][27]ในวันที่ 2 มีนาคม อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เปิดการสอบสวนสมบูรณ์ต่อข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือการล้างเผ่าพันธุ์ในอดีตและปัจจุบันที่ก่อในประเทศยูเครนโดยผู้ใดตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2556 เป็นต้นไป ตั้งวิธีการออนไลน์เพื่อให้บุคคลเสนอหลักฐานเพื่อเริ่มติดต่อกับผู้สอบสวน และส่งทีมผู้สอบสวน นักกฎหมายและบุคลากรอาชีพอื่นไปยังยูเครนเพื่อเริ่มเก็บหลักฐาน
[28][29] ยูเครนและรัสเซียไม่เป็นภาคีของธรรมนูญกรุงโรมซึ่งเป็นเอกสารกฎหมายที่ก่อตั้ง ICC แต่ยูเครนยอมรับเขตอำนาจของ ICC เมื่อมีการลงนามในปฏิญญาตั้งแต่ปี 2556 และ 2557
[30] มีหน่วยงานระหว่างประเทศอิสระอื่นอีก 2 แห่งที่กำลังสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในพื้นที่ ได้แก่ คณะกรรมการสอบสวนเรื่องยูเครนระหว่างประเทศ ซึ่งก่อตั้งโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 4 มีนาคม และคณะผู้แทนเฝ้าสังเกตสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในยูเครน ซึ่งก่อตั้งโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ปลายเดือนมีนาคม อัยการสูงสุดของยูเครนแถลงว่าอัยการยูเครนได้รวบรวมหลักฐาน "คดีอาชญากรรมสงครามที่เป็นไปได้" 2500 คดี และ "ผู้ต้องสงสัยหลายร้อยคน"
[31] ในวันที่ 7 เมษายน 2565 สหประชาชาติระงับสมาชิกภาพคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ของรัสเซีย
[32]