ประวัติ ของ อำเภอพิบูลมังสาหาร

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯ ณ แก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร พระราชทานพระปรมาภิไธยบนแผ่นหิน เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498

อำเภอพิบูลมังสาหาร เดิมชื่อ บ้านกว้างลำชะโด พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช ได้ขอตั้งขึ้นเป็นเมิอง เจ้าพระยากำแหงสงคราม จึงนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก บ้านกว้างลำชะโด เป็น เมืองพิมูลมังษาหาร เมื่อวันอาทิตย์ แรม 11 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน เบญจศกจุลศักราช 1225 ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2406 และโปรดเกล้าตั้ง ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) เป็น พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เป็นเจ้าเมืองคนแรก ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2443 ลดฐานะเป็นอำเภอ ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานี และในปี พ.ศ. 2482 ได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอพิมูลมังษาหาร เป็น อำเภอพิบูลมังสาหาร ในปัจจุบัน

มูลเหตุการตั้งเมืองพิบูลมังสาหาร

ปี พ.ศ. 2402 พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ 3 เห็นว่า ในจำนวนบุตรทั้งหมดมีหลายคนซึ่งพอจะเป็น เจ้าเมือง อุปฮาด (อุปราช) ราชวงศ์ ราชบุตร ทำราชการให้แก่บ้านเมืองได้ จึงได้หมอบหมายให้ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี), ท้าวโพธิสาราช (เสือ), ท้าวสีฐาน (สาง) ซึ่งทั้ง 3 คนนี้เป็นบุตรที่เกิดจากหม่อมหมาแพงภรรยาคนที่ 2 ของพระพรหมราชวงศา (กุทอง) และ ท้าวขัติยะ (ผู) ซึ่งเป็นน้องต่างมารดาของ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) ปรึกษาราชการงานเมือง เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้ว จึงสั่งให้จัดเรือและคนชำนาญร่องน้ำเพื่อหาสถานที่สร้างเมืองใหม่ โดยล่องเรือไปทางทิศตะวันออกตามลำแม่น้ำมูล จนถึง แก่งสะพือ ได้จอดเรือและข้ามไปสำรวจภูมิประเทศฝั่งขวาแม่น้ำมูล ทิศตะวันตกของแก่งสะพือ เมื่อเห็นว่าภูมิสถานเหมาะแก่การตั้งเมืองได้ จึงทำการบุกเบิกป่าตั้งแต่แก่งสะพือไปถึงห้วยบุ่งโง้ง ให้พอที่จะตั้งบ้านเรือนได้ 30-80 ครอบครัว พระพรหมราชวงศา เจ้าเมืองอุบลราชธานี จึงได้จัดราษฎรเข้าไปอยู่หลายครอบครัว พร้อมทั้งให้ ท้าวไชยมงคล และ ท้าวอุทุมพร ผู้เป็นญาติลงไปอยู่ด้วย แล้วตั้งชื่อว่า บ้านกว้างลำชะโด เนื่องจากอาณาบริเวณตั้งอยู่ใจกลางของ 2 ลำห้วย คือ ห้วยกว้าง อยู่ทางทิศตะวันออกและ ห้วยชะโด อยู่ทางทิศตะวันตก

ปัจจัยที่เอื้อต่อการตั้งเมืองพิบูลมังสาหาร

1.1 พระราโชบายของพระมหากษัตริย์สยาม หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเห็นว่าบ้านเมืองอยู่ในสภาพแตกกระจายเป็นก๊กเป็นเหล่า จึงมีพระราชประสงค์จะรวบรวมไพล่พลให้เป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นเมือง จึงมีพระราโชบายให้จัดตั้งเมืองขึ้นและได้ถือเป็นแนวปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อๆมา ดังนั้น เมื่อมีเจ้าเมืองใดขอตั้งเมืองใหม่จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองได้ตามประสงค์

1.2 การปกครอง พระพรหมวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ 3 (พ.ศ. 2388-2409) มีบุตรหลายคน และเห็นว่า ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) เป็นบุตรคนหนึ่งที่มีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญาเฉียบแหลมและกล้าหาญ เมื่อตั้งเป็นเจ้าเมืองแล้ว ย่อมปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้มีความร่มเย็นสงบสุขได้ และเป็นการขยายเขตการปกครองเพิ่มขึ้นด้วย

1.3 แหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ บริเวณที่ตั้งเมืองเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลที่อุดมสมบูรณ์ ดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก มีแหล่งน้ำสาขาหลายสายไหลลงสู่แม่น้ำมูล จึงทำให้บริเวณนี้อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารและสัตว์น้ำนานาชนิด เหมาะแก่การทำไร่ไถนาปลูกข้าว ซึ่งสามารถเป็นแหล่งเสบียงอาหารทั้งในยามสงบและเมื่อมีศึกสงคราม

1.4 เมืองหน้าด่าน ในขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสได้แผ่ขยายล่าอาณานิคมเพื่อหาเมืองขึ้นในประเทศเวียดนามและเขมร ได้ขยายเข้ามาในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนและมีทีท่าว่าจะรุกล้ำเข้ามาตามลุ่มแม่น้ำมูล ซึ่งหากมีการรุกล้ำดินแดนเกิดขึ้นจริง เมืองพิบูลมังสาหารจะเป็นเมืองหน้าด่านที่สามารถต่อต้านข้าศึกสกัดกั้นไม่ให้ศัตรูเข้ามาถึงเมืองอุบลราชธานีโดยง่าย

โปรดเกล้าฯ ตั้งเมืองพิบูลมังสาหาร

ปี พ.ศ. 2406 เมื่อ ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) ได้ตั้ง บ้านกว้างลำชะโด ขึ้นแล้ว ต่อมามีราษฎรเข้ามาอาศัยอยู่หนาแน่นขึ้นพอที่จะตั้งเป็นเมืองได้ จึงจัดสร้างศาลาว่าการขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลแล้วรายงานไปยัง พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช ซึ่งเจ้าเมืองอุบลราชธานีก็เห็นชอบด้วย จึงมีใบบอกกราบเรียนไปยัง เจ้าพระยากำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมา เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก บ้านกว้างลำชะโด เป็น เมืองพิมูลมังษาหาร เมื่อวันอาทิตย์ แรม 11 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน เบญจศกจุลศักราช 1225 ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2406 และโปรดเกล้าตั้ง ท้าวธรรมกิติกา (จูมมณี) เป็น พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี) เป็นเจ้าเมืองคนแรก, ให้ ท้าวโพธิสาราช (เสือ) เป็นอุปฮาด (อุปราช), ให้ ท้าวสีฐาน (สาง) เป็นราชวงศ์, ให้ ท้าวขัติยะ (ผู) เป็นราชบุตร ขึ้นกับเมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไลประเทษราช

ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก บ้านกว้างลำชะโด เป็น เมืองพิมูลมังษาหาร นั้น เห็นจะให้ตรงกับชื่อแม่น้ำซึ่งแต่เดิมเรียกว่า ลำน้ำมูล และเพื่อให้ เมืองพิมูลฯ เป็นคู่กับ เมืองพิมาย ซึ่งตั้งอยู่เหนือลำน้ำมูลขึ้นไป และตามพระราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมาในการตั้งเมืองขึ้นใหม่ พระมหากษัตริย์จะทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมือง นามเจ้าเมือง พร้อมบรรดาศักดิ์และพระราชทานเครื่องยศส่วนเจ้าเมืองตามฐานะเมืองนั้นๆด้วย

เจ้าเมืองและคณะอาญาสี่เมืองพิบูลมังสาหาร

พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองและคณะอาญาสี่ หรือคณะอาชญาสี่ ที่ปกครองเมืองก่อนการปฏิรูปการปกครอง ดังนี้

อนุสาวรีย์พระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี)

อุปฮาด ท้าวโพธิสาราช (เสือ)

ราชวงศ์ ท้าวสีฐาน (สาง)

ราชบุตร ท้าวขัติยะ (ผู)

  • เจ้าเมือง พระบำรุงราษฎร์ (ผู) นามเดิม ท้าวขัติยะ (ผู) ครองเมือง พ.ศ. 2430-2455

อุปฮาด ท้าวลอด เป็นบุตรของพระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี)

ราชวงศ์ ท้าวมิน เป็นบุตรของพระบำรุงราษฎร์ (จูมมณี)

ราชบุตร ท้าวแสง เป็นบุตรของพระบำรุงราษฎร์ (ผู)

ลำดับความเป็นมาของอำเภอพิบูลมังสาหาร

ปี พ.ศ. 2443 หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) ขึ้น ทางราชการจึงได้ลดฐานะ เมืองพิมูลมังษาหาร เป็น อำเภอพิมูลมังษาหาร ให้พระบำรุงราษฎร์ (ผู) เจ้าเมืองคนที่ 2 เป็นนายอำเภอพิบูลมังสาหาร มีอาณาเขตกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 3,646.24 ตารางกิโลเมตร

ปี พ.ศ. 2482 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอพิมูลมังษาหาร เป็น อำเภอพิบูลมังสาหาร

ปี พ.ศ. 2502 กิ่งอำเภอด่านปากมูล สังกัดอำเภอพิบูลมังสาหาร ประกอบด้วย ด่านปากมูล สุวรรณวารี บ้านด่านและโขงเจียม ได้ยกฐานะเป็น อำเภอบ้านด่าน ต่อมาปี พ.ศ. 2514 จึงเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอโขงเจียม และอำเภอโขงเจียมเดิมได้รับพระราชทานเปลี่ยนนามเป็นอำเภอศรีเมืองใหม่ ในปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2521 ทางราชการได้แยกพื้นที่ตำบลตาลสุม ตำบลจิกเทิง ตำบลสำโรง ออกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร และตั้งตำบลขึ้นใหม่อีก 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลหนองกุง ตำบลนาคาย ตำบลคำหว้า แยกออกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2521 ยกฐานะเป็น กิ่งอำเภอตาลสุม และเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 ได้ยกฐานะเป็น อำเภอตาลสุม ในปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2534 จังหวัดอุบลราชธานีได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยจัดตั้ง อำเภอสิรินธร เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสที่มีพระชนมายุครบ 36 พรรษาในปี พ.ศ. 2534 ทางราชการจึงได้แยกตำบลคำเขื่อนแก้ว ของอำเภอโขงเจียม และตำบลคันไร่ ตำบลช่องเม็ก ตำบลโนนก่อ ตำบลนิคมลำโดมน้อย ตำบลฝางคำ ของอำเภอพิบูลมังสาหาร จัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอมีชื่อว่า อำเภอสิรินธร ตามพระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอสิรินธร พ.ศ. 2534 อันมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2535