ที่มาและสำนวน ของ อุษาบารส

สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากนคัมภีร์สันสกฤตของอินเดียโบราณอยู่หลายเล่มโดยเล่มที่สำคัญคือ คัมภีร์ปุราณะ โดยเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวของอุษาบารส เช่น วิษณุปุราณะ ปัทมปุราณะ ศิวปุราณะ ภาควตปุราณะ อัคนิปุราณะ พรหมไววรรตปุราณะ และครุฑปุราณะ[1] สำนวนของไทยไม่ได้นำเนื้อเรื่องจากสำนวนใดสำนวนหนึ่งในฉบับสันสกฤตโดยตรง แต่ได้นำเนื้อหาจากฉบับต่าง ๆ มาประสมประสานกัน โดยสำนวนที่ใกล้เคียงกับวรรณกรรมสันสกฤตของอินเดียมากที่สุดคือ อนิรุทธ์คำฉันท์ ส่วนสำนวนและสำนวนล้านช้างมีความคล้ายคลึงกัน[2]

อุสสาบารสในฉบับล้านนา ได้รับการกล่าวถึงใน นิราศหริภุญชัย มีเนื้อความเล่าว่าเมื่อหยุดพักการเดินทางในเวลากลางคืน นอกจากมีการเล่นดนตรีแล้วยังมีการอ่านโคลงอุสสาบารสให้ผู้ร่วมขบวนเกวียนมีความบันเทิงใจด้วย เมื่อพิจารณาจากอายุของนิราศหริภุญชัย ซึ่งสันนิษฐานว่าแต่งประมาณ พ.ศ. 2060 วรรณกรรมอุสสาบารสจึงมีมาก่อนหน้านี้แล้ว

กฎหมายสมัยพระเจ้ากือนาที่มีการอ้างถึงวรรณกรรมเรื่องอุสสาบารสนี้ ความตอนหนึ่งว่า "เจ้ามาอยู่เป็นแม่เรือนปั่นฝ้ายบ่พอ 50 น้ำฝ้ายไปวันใดก็เท่าอ้างอุษาบารสและสี่บทโคลงอยู่มาโรงสินว่าอั้น นางโสภาเถียงว่ากู้เงินพี่มาจ่าย ถามเอาเงินแทน ก็ว่าต่อร่อกับกูอ่านหนังสือช่างกูสัง บ่ยืมปากไผมาว่ามาอ่านเดว่าอั้น" และความอีกตอนหนึ่งว่า "อยู่เรือนเพิ่นยุเยียะยุกิน อยู่โถงด้วยหมากสักกาอุสสาสี่บทโคลง อยู่บ่ดีแก่เจ้าชาว่าอั้น"[2] มีความเป็นไปได้ว่าอุสสาบารสในฉบับล้านนาเก่าแก่ที่สุดจากนั้นจึงกระจายตัวไปสู่อยุธยาและล้านช้าง ส่วนอนิรุทธ์คำฉันท์ซึ่งเป็นวรรณคดีแบบลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรอยุธยาเชื่อกันว่ามีการประพันธ์ขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคือ ระหว่าง พ.ศ. 1991–2031[1]

อุษาบารสในฉบับภาคอีสานมีการกระจายตัวปรากฏในจังหวัดต่าง ๆ ใน 8 จังหวัด คือ อุดรธานี เลย กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด อุบลราชธานีและบุรีรัมย์ ปรากฏเป็น 32 สำนวน แบ่งเป็นฉบับใบลาน 28 สำนวน (รวมฉบับที่ปรากฏในประเทศลาว 1 สำนวน) ฉบับที่ปริววรรตแล้ว 4 สำนวน (รวมสำนวนที่ดนุพลไชยสินธุ์ปริวรรตเรื่องจำบัง) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเนื้อเรื่องเดียวกับอุษาบารส[1]