เกี้ยว สำหรับเจ้านายเรียก
พระเกี้ยว เป็นเครื่องประดับศีรษะของไทยชนิดหนึ่งมีลักษณะเป็นวงคล้าย
พวงมาลัย ใช้สำหรับรัดผมหรือรัดจุก
[1] เพราะ "เกี้ยว" หากเป็นคำนามจะหมายถึงเครื่องประดับศีรษะหรือเครื่องสวมจุก
[2] หากเป็นคำกริยาจะมีความหมายว่าผูกหรือมัด
[3] เดิมใช้ดอกไม้หรือพวงมาลัยมาสวมรัดผมที่เกล้าให้สวยงาม เรียกว่า
มาลา หรือ
พระมาลา แปลว่าดอกไม้
[4] ในระยะหลังจึงพัฒนาเป็นวงดอกไม้ที่ทำจากโลหะ เช่น เงิน ทองคำ หรือนาค ตามฐานานุศักดิ์ของเจ้าของ
[5] คำว่า "พระมาลา" สำหรับเจ้านายจึงแปรความหมายเป็น
หมวกไป
[4] เกี้ยวมีหลายประเภท เช่น เกี้ยวธรรมดา เกี้ยวดอกไม้ไหว เกี้ยวแซม เป็นอาทิ
[3][6] ต่อมาชั้นสูงของไทยที่ไว้ผมยาวรวบผมที่ยาวให้สูงขึ้น ไม่ให้ดูรกรุงรัง และนำเงินหรือทองมาทำเป็นเกี้ยวให้ดูงามกว่าปรกติ และทำกระบังหน้ากันผมปรกลง ส่วนผู้ชายก็หาผ้ามาโพก เกี้ยวจึงวิวัฒนาการเป็นเครื่องประดับศีรษะคือ
ลอมพอกและ
ชฎา[4]เกี้ยวอีกรูปแบบหนึ่งเรียกว่า
สนองเกล้า คือเกี้ยวที่มีสาแหรกคลุมมวยผม
[6] เป็นศิราภรณ์ของเจ้านายฝ่ายในตั้งแต่ยุค
อาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา สนองเกล้ามีสาแหรกสี่ก้าน ประดับด้วยลายรักร้อยและลายพรรณพฤกษาทำจากเส้นทอง ขดเป็นกระเปาะฝัง
อัญมณีและ
รัตนชาติ บนสุดเป็นดอกดาราประดับ
มุกดาหารเป็นเม็ดยอด
[3]รัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้พระเกี้ยวเป็นพิจิตรเรขาประจำรัชกาล ครั้นเมื่อจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน หรือโรงเรียนมหาดเล็ก จึงโปรดเกล้าพระราชทานรูปพระเกี้ยวเป็นเครื่องหมายหน้าหมวกของนักเรียนมหาดเล็ก ต่อมาโรงเรียนมหาดเล็กได้สถาปนาขึ้นเป็น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บริหารได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก็ได้รับพระราชทานและใช้มาจนถึงปัจจุบัน
[2]