การพัฒนา ของ เจาะเวลาหาอดีต

การเขียนบท

ผู้เขียนบทและผู้สร้าง บ็อบ เกล เกิดแนวคิดขึ้นหลังจากที่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาที่ เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เขาพบรถเก่าที่ใต้ดินของที่บ้าน เกลพบหนังสือรุ่นของพ่อเขาและพบว่าพ่อของเขาเป็นประธานนักเรียนของชั้นด้วย เกลจึงนึกถึงประธานนักเรียนรุ่นเขาเองที่เขาไม่ได้สุงสิงอะไรด้วยเลย[1] เขาก็นึกเล่น ๆ ถ้าเขาเป็นเพื่อนกับพ่อเขาและไปเรียนด้วยกันตอนเรียนไฮสคูล จะเป็นอย่างไร เมื่อเขากลับไปแคลิฟอร์เนีย ก็ได้เล่าให้โรเบิร์ต เซเม็กคิส เกี่ยวกับแนวคิดใหม่นี้[2] เซเม็กคิสก็นึกถึงเรื่องของแม่เขาที่ว่า เธอไม่เคยจูบผู้ชายเลยเมื่อสมัยเรียนไฮสคูล ซึ่งในชีวิตจริงเธอก็ผ่านมาโชกโชน[3] ทั้งคู่นำไปเสนอกับโคลัมเบียพิกเจอร์ส และได้พัฒนาบทในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980[2]

เซเม็กคิสและเกลได้กำหนดเรื่องราวในปี 1955 มีวิธีคิด กล่าวคือ คนอายุ 17 ปี กลับไปหาพ่อแม่เขาในอดีตเพื่อพบกับพ่อแม่ของเขาในวัยเดียวกับเขา ในยุคนั้นเป็นต้นกำเนิดของเพลงร็อกแอนด์โรล เป็นยุคที่สื่อให้ความสนใจกับวัยรุ่น พลังในการจับจ่ายใช้สอย และเป็นยุคการขยายตัวอยู่อาศัยในเขตชานเมือง ที่มีกลิ่นอายอยู่ในเรื่องราว[4] มาร์ตี้ในฉบับดั้งเดิมเป็นพวกทำวิดีโอเถื่อน ส่วนไทม์แมชชีนเป็นตู้เย็น ที่เขาต้องการพลังงานระเบิดจากการทดลองที่เนวาดาเทสต์ไซต์ ที่จะนำพาเขากลับบ้าน เซเม็กคิสตระหนักว่า "อาจจะมีเด็กที่ขังตัวเองในตู้เย็นก็ได้" และฉากสำคัญที่สุดในเรื่องก็ดูใช้เงินเยอะเกินไป รถเดอลอรีนที่ใช้เป็นไทม์แมชชีนได้ถูกคัดเลือกและออกแบบมาเพราะจะใส่มุขเกี่ยวกับครอบครัวที่ว่า ชาวไร่เข้าใจผิดว่ามันคือจานบิน นักเขียนได้เชื่อมความสัมพันธ์ในความเป็นเพื่อนข้ามวัยของมาร์ตี้กับด็อก บราวน์ ค่อนข้างยาก โดยเชื่อมเรื่องราวว่า พวกเขาสร้างแอมป์กีตาร์ขนาดใหญ่ขึ้นมา ส่วนฉากความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับมาร์ตี้ในอดีต พวกเขาเขียนคำพูดว่า "มันเป็นจูบที่เหมือนเธอจูบน้องชายเขา" ส่วนบิฟฟ์ แทนเน็นตั้งชื่อตามเน็ด เทเน็น ตำแหน่งยูนิเวอร์ซัลเอกคูทีฟ ที่ดูก้าวร้าวกับเซเม็กคิสและเกลขณะที่พบกันระหว่างเขียนบทให้ภาพยนตร์เรื่อง I Wanna Hold Your Hand[3]

โครงร่างแรกของ เจาะเวลาหาอดีต เสร็จสิ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 โคลัมเบียพิกเจอร์สต้องการให้ปรับเปลี่ยนและขายต่อ "พวกเขาคิดว่า มันค่อนข้างดี, น่ารัก, หนังอบอุ่น แต่ยังขาดเรื่องทางเพศไป" เกลพูด "พวกเขาแนะนำว่า ควรนำหนังไปให้ดิสนีย์ แต่พวกเขาตัดสินใจ ที่จะส่งไปสตูดิโอใหญ่อื่นที่ต้องการพวกเขา[2] ทุกค่าย ทุกสตูดิโอใหญ่ ๆ ปฏิเสธบทนี้ ขณะที่พวกเขายังพัฒนาอีก 2 บทร่าง ระหว่างต้นยุค 1980 ด้วยความนิยมของคอเมดี้วัยรุ่น (อย่างเช่น Fast Times at Ridgemont High และ Porky's) ที่มีเนื้อหาทะลึ่งตึงตัง ดังนั้นบทภาพยนตร์ก็ถูกปฏิเสธไปเนื่องจากเนื้อหาเบาไป[3] เกลและเซเม็กคิสตกลงที่จะเสนอ เจาะเวลาหาอดีต ให้ทางดิสนีย์ "พวกเขาบอกว่า แม่ตกหลุมรักลูกชายของตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับภาพยนตร์ครอบครัว ภายใต้แบรนด์ของดิสนีย์" เกล พูด[2]

ทั้งคู่พยายามเข้าหาสตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เป็นผู้สร้างให้กับ Used Cars และ I Wanna Hold Your Hand ที่ล้มเหลวทั้งสองเรื่อง สปีลเบิร์กได้ห่างหายจากโครงการไปเพราะเซเม็กคิสทำล้มเหลว เพราะถ้ามันล้มเหลวอีกก็อยู่ภายใต้ชื่อเขา เขาจะไม่สามารถที่จะสร้างหนังได้อีก เกลพูดว่า "เรากลัวว่า เราจะได้ชื่อเสียงจากเพราะเราสองคนที่แค่ทำงานได้เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกับสตีเวน สปีลเบิร์ก"[5] มีผู้สร้างคนหนึ่งสนใจแต่เปลี่ยนใจเมื่อรู้ว่าสปีลเบิร์กไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ เซเม็กคิสจึงเลือกที่จะกำกับ Romancing the Stone แทน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสเป็นอย่างดี ทำให้เขามีประวัติดี น่าเชื่อถือ เซเม็กคิสจึงเข้าหาสปีลเบิร์กด้วยแนวคิดนี้ โครงการนี้จึงเกิดขึ้นภายใต้สตูดิโอ ยูนิเวอร์ซัลพิกเจอร์ส[3]

ซิดนีย์ ชีนเบิร์ก ผู้บริหารได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทว่า ให้เปลี่ยนชื่อแม่ของมาร์ตี้ จากเม็ก เป็น ลอร์เรน (ตามชื่อภรรยาเขา ที่เป็นนักแสดงที่ชื่อ ลอร์เรน แกรี) และเปลี่ยนสัตว์เลี้ยงของด็อกบราวน์จากลิงชิมแพนซี เป็นสุนัข[3] ชีนเบิร์กต้องการให้เปลี่ยนชื่อเป็น Spaceman from Pluto แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่เขาก็แนะนำว่าน่าจะให้มาร์ตี้แนะนำตัวเขาเองว่าเป็น "ดาร์ธ เวเดอร์ จาก ดาวพลูโต" ขณะที่ชุดแต่งให้แต่งตัวเหมือนมนุษย์ต่างดาว (ดีกว่ามาจากดาว วัลแคน) และที่ชาวนาโชว์การ์ตูนเป็น Spaceman from Pluto แทนที่จะเป็น Space Zombies from Pluto สปีลเบิร์กส่งข้อความกลับไปชีนเบิร์กว่า ที่เขาพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนชื่อนี่คือเรื่องตลกใช่มั๊ย ดังนั้นเขาจึงยกเลิกแนวคิดนี้ไป[6]

การคัดเลือกนักแสดง

ภาพการทดลองยานไทม์แมชชีน รับบทเป็นมาร์ตี้ แม็กฟลาย โดยอีริก สตอลต์ซ

ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ เป็นตัวเลือกแรกสำหรับบทมาร์ตี้ แม็กฟลาย แต่เขาได้ตอบรับที่จะแสดงในซีรีส์ Family Ties ไปแล้ว[7] แกรี เดวิด โกลด์เบิร์ก ผู้สร้างโชว์รู้สึกว่าฟ็อกซ์มีความจำเป็นสำหรับความสำเร็จของซีรีส์นี้และจะทำให้สับสนถ้าเขาประสบความสำเร็จจากโชว์ ภาพยนตร์กำหนดออกฉายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1985 และในช่วงปลายปี 1984 เมื่อรู้ว่าฟ็อกซ์ไม่สามารถแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้[3] ตัวเลือกอีก 2 คนของเซเม็กคิสคือ ซี. โทมัส ฮาวเวลล์ และ อีริก สตอลต์ซ ซึ่งภายหลังได้ทำให้ผู้สร้างประทับใจกับบท รอย แอล. เดนนิส ในเรื่อง Mask พวกเขาเลือกอีริก สตอลต์ซมารับบทเป็นมาร์ตี้ แม็กฟลาย[1] แต่ด้วยเพราะความยุ่งยากในขั้นตอนคัดเลือกนักแสดง ทำให้วันออกฉายเลื่อนไป 2 หน[8]

ในระหว่างการถ่ายทำ 4 อาทิตย์ เซเม็กคิสตัดสินใจดึงสตอลต์ซออกจากภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าเขาและสปีลเบิร์กจะรู้ดีว่าจะต้องถ่ายทำใหม่ซึ่งจะต้องใช้งบเพิ่มอีก 3 ล้านถึง 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาตัดสินใจคัดเลือกตัวนักแสดงใหม่ สปีลเบิร์กอธิบายเซเม็กคิสที่รู้สึกกับสตอลต์ซว่า ขาดอารมณ์ขันและ "มีการแสดงที่เลวร้าย" เกลอธิบายเพิ่มว่า สตอลต์ซแค่แสดงไม่สมบทบาท ขณะที่ฟ็อกซ์ด้วยตัวเขาเองแล้วบุคลิกเหมือน มาร์ตี้ แม็กฟลาย เขารู้สึกว่าสตอลต์ซดูไม่เหมาะกับการเล่นสเกตบอร์ด ขณะที่ฟ็อกซ์ดูเนียน ทางด้านสตอลต์ซรู้สึกผิดกล่าวทางโทรศัพท์กับปีเตอร์ บ็อกดาโนวิช ว่า 2 อาทิตย์ระหว่างการถ่ายทำ เขารู้สึกถึงความไม่มั่นใจในทิศทางของเซเม็กคิสและเกล และเห็นด้วยว่าเขาไม่เหมาะกับบทนี้[3]

ฟ็อกซ์วางตารางเวลาไว้ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1985 เมื่อเมเรดิธ แบ็กซ์เตอร์จะกลับมาใน Family Ties หลังจากการตั้งครรภ์ ทีมงาน เจาะเวลาหาอดีต กลับมาหาโกล์ดเบิร์กอีกครั้ง ที่ได้สัญญากับฟ็อกซ์ว่าจะเป็นตัวละครสำคัญใน Family Ties แต่ถ้าตารางเวลาขัดกัน เขาก็ไม่ได้เล่น ฟ็อกซ์ชอบบทภาพยนตร์และเห็นถึงความใส่ใจของเซเม็กคิสและเกลที่เขาไล่สตอลต์ซออก แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดถึงสตอลต์ซมากเท่าไหร่[3] เพอร์ เวลินเดอร์และโทนี ฮอว์ก โปรสเกตบอร์ดได้ช่วยในฉากเล่นสเกตบอร์ด อย่างไรก็ตามฮอว์กก็ออกไปจากภาพยนตร์เพราะเขาสูงกว่าฟ็อกซ์ ที่เดิมเขาแสดงแทนสตอลต์ซในหลายฉาก[9] ฟ็อกซ์ยังพูดถึงมาร์ตี้ แม็กฟลายว่าดูมีความเป็นตัวเองสูง "ที่ผมทำในตอนเรียนระดับไฮสคูลคือเล่นสเกตบอร์ด ตามผู้หญิงและมีวงดนตรี ผมเคยแม้แต่ฝันว่าจะเป็น ร็อกสตาร์"[7]

คริสโตเฟอร์ ลอยด์ รับบทเป็น ด็อก บราวน์ หลังจากที่ตัวเลือกแรกในบทนี้คือ จอห์น ลิธโกว์ ที่ไม่ว่างที่แสดง[3] ผู้สร้าง นีล แคนตัน ใน The Adventures of Buckaroo Banzai (1984) ที่เคยทำงานร่วมกับลอยด์ได้แนะนำให้มารับบทนี้ เดิมทีลอยด์ปฏิเสธที่จะเล่น แต่ก็เปลี่ยนจากหลังจากอ่านบทและคำคะยั้นคะยอจากภรรยาเขา เขายังได้ปรับเปลี่ยนการแสดงบางฉาก[10] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอัลเบิร์ต ไอนสไตน์และคอนดักเตอร์ ที่ชื่อ ลีโอโพลด์ สโตคาวสกี[11] บราวน์ ออกเสียง จิ๊กกะวัตต์ เป็น "จิ๊กโกวัตต์" ที่เป็นคำพูดของนักฟิสิกส์พูดกัน เป็นข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนการหาข้อมูลเขียนบทของเซเม็กคิสและเกล[9]

คริสพิน โกลเวอร์ รับบทเป็น จอร์จ แม็กฟลาย เซเม็กคิสพูดถึงโกลเวอร์ว่าเขาแสดงเกินบทมากเกินไป ในบทบาทจอร์จที่มีบุคลิกเฉื่อยชา อย่างเช่นการเชกแฮนด์ ผู้กำกับก็พูดติดตลกเกี่ยวกับโกลเวอร์ว่า เขาแทบไม่เข้าใจลักษณะตัวละคร อีก 50% ที่เหลือเลย[3]

ลีอา ธอมป์สัน รับบทเป็น ลอร์เรน แม็กฟลาย เพราะเธอรับบทคู่กับสตอลต์ซใน The Wild Life การแต่งหน้าเธอในฉากปี 1985 ต้องใช้เวลาแต่งหน้าถึง 3 ชั่วโมงครึ่งจึงจะเสร็จ[12]

โทมัส เอฟ. วิลสัน รับบทเป็น บิฟฟ์ แทนเน็น เพราะตัวเลือกแรกที่เลือกไว้คือ เจ. เจ. โคเฮน เมื่อพิจารณาดูแล้วจะดูเชื่อไม่ได้ว่าจะวางก้ามกับสตอลต์ซได้[3] แต่โคเฮนก็แสดงในบทเพื่อนของบิฟฟ์ และเมื่อมีฟ็อกซ์มาแสดง โคเฮนก็พอดูจะพอทำได้กับบทนี้ที่เขาสูงกว่าฟ็อกซ์[9]

งานสร้าง

จตุรัสเมืองฮิลล์วัลเลย์ถ่ายทำที่คอร์ตเฮาส์สแควร์

หลังจากที่สตอลต์ซออกไป ฟ็อกซ์ได้จัดตารางเวลาโดยในช่วงวันธรรมดา ถ่าย Family Ties ในช่วงกลางวัน และถ่าย เจาะเวลาหาอดีต จาก 18.30 น. ถึง 2.30 น. ของอีกวัน เขามีเวลานอนเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ในระหว่างวันศุกร์เขาถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่ม ถึง 6 หรือ 7 โมงเช้า จากนั้นก็ไปถ่ายฉากข้างนอกในช่วงวันหยุด ในฉากที่ต้องถ่ายในช่วงกลางวัน ฟ็อกซ์รู้สึกเหน็ดเหนื่อยต่อการทำงาน แต่ "มันเป็นความฝันที่จะอยู่ในภาพยนตร์ และธุรกิจโทรทัศน์ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รู้ว่าผมทำควบคู่กันไป มันเป็นอะไรที่ประหลาดแต่ผมก็ต้องดำเนินต่อไป"[13] เซเม็กคิสก็เห็นด้วย พวกเขาถ่ายทำวันแล้ววันเล่า ทุกคืน ตอนนั้นเขามักจะอยู่ใน "ภาวะกึ่งหลับ" และ "อ้วนที่สุด ไม่อยู่ในรูปร่างที่ควบคุมและป่วยบ่อยที่สุด"[3] ฟ็อกซ์ใช้เวลาถ่ายเรื่องนี้ 10-12 สัปดาห์

ฉากจตุรัสเมืองฮิลล์วัลเลย์ถ่ายทำที่คอร์ตเฮาส์สแควร์ ตั้งอยู่ด้านหลังสตูดิโอของยูนิเวอร์ซัล บ็อบ เกลอธิบายว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถ่ายทำจากสถานที่จริง "เพราะไม่มีเมืองไหนที่อนุญาตให้ทีมงานภาพยนตร์ตกแต่งฉากบ้านเรือนให้เหมือนในยุค 1955" ทางทีมงานสร้างอธิบายว่า "พวกเขาตัดสินใจที่จะถ่ายทำฉากในปี 1955 ก่อน ที่ที่มีความสวยงาม จากนั้นจึงค่อยใส่ขยะ และทำให้มันน่าเกลียดในฉากยุค 1985"[13] ส่วนฉากภายในบ้านด็อกบราวน์ถ่ายทำที่บ้านโรเบิร์ต อาร์. แบล็กเกอร์ ขณะที่ฉากด้านนอกถ่ายทำที่บ้านแกมเบิล[14]

เมื่อภาพยนตร์ใกล้เสร็จ เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1985 หลังจากการถ่ายทำครบร้อยวัน ภาพยนตร์ก็ได้เลื่อนฉายจากเดือนพฤษภาคมไปเป็นสิงหาคม แต่หลังจากได้เสียงตอบรับด้านบวกในรอบทดลองฉาย ชีนเบิร์กเลือกวันออกฉายวันที่ 3 กรกฎาคม และเพื่อที่เสร็จสิ้นภายในวันที่กำหนด ผู้ตัดต่อสองคนคือ อาร์เธอร์ ชมิดต์และแฮร์รี เคอรามิดาส รับหน้าที่ในการตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ขณะที่ผู้ตัดต่อเสียงจำนวนมากทำงาน 24 ชั่วโมง มีส่วนที่ถูกตัดทิ้งไป 8 นาที เช่นฉากมาร์ตี้ดูแม่เขาโกงการสอบ, จอร์จติดอยู่ในบูธโทรศัพท์ก่อนที่จะช่วยเหลือลอร์เรน รวมถึงฉากที่มาร์ตี้แสร้งทำเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ส่วนฉากจอห์นนี บี. กู้ด ก็เกือบถูกตัดทิ้งไปโดยเซเม็กคิส ที่เขารู้สึกว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหา แต่ผู้ชมรอบทดสอบกลับชื่นชอบมัน ทำให้เขาต้องเก็บเอาไว้

อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ แมจิก ทำงานด้านฉากเอฟเฟกต์ 32 ช็อต ซึ่งเซเม็กคิสและเกลก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร จนกระทั่งในสัปดาห์สุดท้ายก่อนภาพยนตร์จะเสร็จสิ้น[3]

ดนตรี

อลัน ซิลเวสตริ เคยร่วมงานกับเซเม็กคิสในภาพยนตร์เรื่อง Romancing the Stone ซึ่งทางสปีลเบิร์กก็ไม่ชอบผลงานเพลงบรรเลงเรื่องนี้ เซเม็กคิสแนะนำซิลเวสตริว่าให้ประพันธ์เพลงบรรเลงอย่างอลังการ ฟังดูเหมือนเป็นมหากาพย์ เนื่องจากเป็นภาพยนตร์เล็ก ๆ เพื่อจะได้สร้างความประทับใจให้กับสปีลเบิร์ก ซิลเวสตริเริ่มบันทึกเสียงเพลงบรรเลงก่อนรอบปฐมทัศน์ 2 สัปดาห์ เขายังได้แนะนำ ฮิวอี ลูวิส แอนด์ เดอะ นิวส์ ให้แต่งเพลงธีมภาพยนตร์ ความพยายามครั้งแรกก็ได้รับการปฏิเสธจากยูนิเวอร์ซัล จากนั้นพวกเขาบันทึกเสียง "The Power of Love" ซึ่งทางสตูดิโอก็ชื่นชอบเพลงสุดท้ายนี้ แต่ก็ผิดหวังเมื่อมันไม่ได้มีอยู่ในไตเติลของหนัง พวกเขาจึงส่งข้อความให้สถานีวิทยุโดยให้พูดถึงว่าเพลงนี้เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่อง เจาะเวลาหาอดีต[3] ในตอนท้ายของหนังมีเพลงที่ชื่อ "Back in Time" ขึ้นมาในช่วงที่มาร์ตี้กลับมาถึงในปี 1985 และอีกครั้งตอนเครดิตตอนจบ ฮิวอี เลวิส ยังร่วมแสดงเป็นครูในโรงเรียนที่ผิดหวังกับวงของมาร์ตี้ และวิจารณ์ว่า เพลงเสียงดังไป[13]

ใกล้เคียง

เจาะเวลาหาอดีต เจาะเวลาหาจิ๋นซี (นวนิยาย) เจาะเวลาหาจิ๋นซี (ละครโทรทัศน์) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2 เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3 เจาะเซฟ (รายการโทรทัศน์) เจาะเวลาผ่าความถี่ฆ่า เจาะเวลาหาจิ๋นซี เจาะเลือด เจาะเทาะ

แหล่งที่มา

WikiPedia: เจาะเวลาหาอดีต http://www.boxofficemojo.com/alltime/adjusted.htm http://www.boxofficemojo.com/features/?id=1258&pag... http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=backtothef... http://www.boxofficemojo.com/yearly/chart/?yr=1985... http://www.bttfmovie.com/ http://onfilm.chicagoreader.com/movies/capsules/65... http://www.ew.com/ew/report/0,6115,1532588_1_0_,00... http://www.filmcritic.com/misc/emporium.nsf/review... http://www.imdb.com/title/tt0088763/ http://www.metacritic.com/film/titles/back-to-the-...