หนทางแห่งการเป็นเจได ของ เจได

การเป็นเจไดนั้นต้องรับข้อผูกมัดที่ลึกซึ้งและจิตใจที่หลักแหลม ชีวิตของเจไดคือการเสียสละ เจได คือผู้ที่มีสัมผัสของพลังซึ่งจะแผ่ออกมาตั้งแต่ยังเล็ก หากเกิดในดาวที่เจไดสามารถไประบุตัวได้ ก็จะได้รับการระบุตัวตั้งแต่ตอนเกิด (หรือโดยเร็วที่สุด) จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังวิหารเจไดบนคอรัสซังค์ตั้งแต่ยังเป็นทารกหรืออายุน้อยมากไม่เกิน 7-8 ปี เมื่ออยู่ในวิหารเจได เด็กๆ จะได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนตามวิธีของเจได รวมทั้งวิถีชีวิต กฎของเจไดที่ให้ความสำคัญเช่น ความสุขุม ความอดทน และความเมตตา และจะต้องระงับ ความรู้สึก เช่น ความเกลียด ความโกรธ และความกลัว ที่เป็นการทำลายตนและนำสู่หนทางแห่งด้านมืดของพลัง

การฝึกฝน

เจไดวัยเยาว์ส่วนใหญ่มักถูกเรียกว่ายังลิ่งหรือ เด็กๆ จะได้รับการจัดเป็นกลุ่มแล้วรับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์เจไดที่มีประสบการณ์ เช่น โยดา เพื่อเรียนรู้วิถีของเจไดและอำนาจแห่งพลัง โดยปกติ การฝึกฝนเพื่อเป็นเจไดจะเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เว้นแต่ยุคฟื้นฟูเจได หลังจากการสิ้นอำนาจของจักรวรรดิกาแล็กติก ระยะแรกนั้น เจไดรุ่นใหม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีสัมผัสของพลัง ได้รับการฝึกครั้งแรกจากอาจารย์ลุค สกายวอล์คเกอร์โดยตรง หลังจากนั้นจึงค่อยรับเด็กๆเข้ามาฝึกฝนตามธรรมเนียมเดิม

เมื่อนักเรียนแต่ละคนได้รับการฝึกถึงขั้นที่น่าพอใจตามวิถีแห่งเจไดแล้ว เหล่าอัศวินที่ประสงค์จะมีศิษย์จะมาคัดเลือกเด็กเหล่านี้ไปฝึกฝนแบบตัวต่อตัว (ในห้องมืด) โดยเด็กที่ได้รับเลือกจะมีสถานะเป็น พาดาวัน สัญลักษณ์ของพาดาวัน (ในเผ่าพันธุ์ที่มีเส้นผม) คือ การไว้ผมเปียเล็กห้อยข้างใบหู และเกล้าหางม้าขนาดเล็กที่หลังศีรษะ สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกตัดออกในพิธีหลังจากพาดาวันได้รับการยอมรับเป็นอัศวินเต็มตัว ศิษย์พาดาวันจะติดตามอาจารย์ไปในภารกิจต่างๆ โดยอาจารย์จะทำตัวเป็นแบบอย่างให้คำชี้แนะ เมื่อพาดาวันมีประสบการณ์และฝีมือมากขึ้นก็อาจได้รับภารกิจเดี่ยวเป็นบางครั้ง

หากเด็กคนใดไม่ได้รับการเลือกไปเป็นพาดาวันของอัศวินเจไดภายในอายุ 13 ปี จะถูกคัดแยกไปอยู่ในหน่วยที่มีภารกิจเฉพาะ เช่น หน่วยสำรวจ หน่วยกสิกรรม หรือเป็นเจไดผู้เยียวยา การเลื่อนจากพาดาวันขึ้นเป็นอัศวิน มีได้สองกรณีคือ ได้รับการทดสอบโดยสภาเป็นผู้ตัดสิน และ พาดาวันผู้นั้นมีผลงานโดดเด่นและได้รับการยอมรับว่า มีความสามารถสมควรได้รับการเลื่อนชั้นแล้ว ซึ่งโอบีวัน เคโนบี ได้เลื่อนชั้นเป็นอัศวินจากการเป็นผู้สังหารซิธ แม้ยังขณะที่ยังเป็นพาดาวัน

การฝึกกระบี่แสง

อาจารย์เจได ซิน ดรัลลิค (กลาง) ฝึกสอน ไฮว มันโรซ์ (ซ้าย)และเบเน่ (ขวา)ในการใช้กระบี่แสง

อาวุธตามธรรมเนียมของเจไดก็คือกระบี่แสงซึ่งเมื่ออยู่ในมือที่มีทักษะคล่องแคล่ว อาจกลายเป็นการต่อสู้ที่ร้ายกาจ แม้แต่กับการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธระยะไกล ในการบรรลุระดับของทักษะนี้ต้องการความตั้งใจสูงและการฝึกฝนที่เข้มงวด นักเรียนจะฝึกฝนการใช้กระบี่แสงจากระยะไกลและเด็กๆ จะใช้กระบี่แสงในการฝึกฝน พวกเขายังดวลกับเจไดด้วยกันเองเพื่อทดสอบฝีมือของพวกเขา เมื่อถึงเวลาการใช้กระบี่จริงๆ เจไดต้องการความระมัดระวังสูง ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลัง ตั้งแต่การเป็นหนึ่งเดียวกับความประณีตในเนื้อในของกระบี่แสงและชั้นแรกของประจุพลังซึ่งต้องการความรู้ทางด้านพลังเพื่อสนับสนุน เจไดจะสร้างกระบี่แสงด้วยตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน โดยใช้คริสตัลพิเศษเป็นจุดรวมของใบกระบี่แสง ในช่วงสงครามเจไดกลางเมือง เจไดซีรีนหลายคนใช้คริสตัลพิเศษคาชาในกระบี่แสงเป็นเครื่องมือในการเข้าญาณ โดยการเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตัลในการฝึกกฎเกณฑ์ของพวกเขา เพื่อช่วยขจัดความวอกแวกในจิตใจ แม้แต่ความตึงเครียดในการต่อสู้จะนำตัวมันเองเพื่อหาส่วนประกอบของกระบี่แสง การเข้าญาณในถ้ำคริสตัลบนดาวเคราะห์ เช่น อิลัมหรือแดนทูอีนมักจะเห็นภาพใจจิตใจของเจไดเกี่ยวกับกระบี่แสงที่พวกเขาจะสร้างขึ้น การสร้างกระบี่แสงถูกพิจารณาเป็นเครื่องวัดระยะของการเข้าสู่ขั้นอัศวินเจไดและเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความหมายแข็งแกร่ง

หนทางแห่งชีวิต

ในการปฏิบัติตามหลักของเจได การปฏิบัติตัวของเจไดจะต้องไม่สั่นคลอนเพื่อยืนหยัดในระเบียบวินัยของตนเอง มีความรับผิดชอบและช่วยเหลือสาธารณะ เจไดต้องควบคุมความรู้สึกและความเห็นแก่ตัว พวกเขามีชีวิตที่มีเกียรติ มีหลักเกณฑ์ ในนิกายเจไดความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ เจไดมักช่วยสนับสนุนและปกป้องความอ่อนแอ กฎของการผูกมัด เช่น ความรู้สึก ความคิดเห็น ดั่งความเข้าใจในด้านมืดและสว่างในทุกสิ่ง เรียนรู้ที่จะเห็นอย่างระมัดระวัง เปิดตาของพวกเขาเพื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ชัดแจ้งและปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง แม้กระทั่งสนใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำคัญที่สุด เจไดทำหน้าที่เพื่อสาธารณรัฐและเป็นหนึ่งเดียวกับพลัง เหล่าเจไดก่อนที่รูซานน์จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบมีหนทางหลายหนทางในการปฏิบัติของพวกเขา นิกายมีการจัดรวมที่หละหลวมและอัศวินเอกชนและปรมาจารย์ยอมให้อิสระส่วนตัวมากกว่า ภายหลัง นิกายมีศูนย์กลางสำคัญคือสภาสูง

แม้ว่าต่อมามันจะกลายเป็นข้อห้าม เจไดในยุคแรกๆ จะใช้โล่และเกราะเพื่อป้องกันตนเองในสนามรบ และใช้ปืนเลเซอร์แทนกระบี่แสงในการต่อสู้ เจไดในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงยังไม่มีชุดคลุมอีกด้วย หรืออาจมีมากหรือน้อยเมื่อพวกเขาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว แม้ว่าเสื้อคลุมยาวตามประเพณีนั้นเป็นที่ชอบของปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็ตาม นี่รวมถึงเสื้อคลุมที่มีแขน เสื้อคลุมไม่มีแขนที่มักจะมีสีและโทนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสีขาวและน้ำตาล สีเทาก็เป็นสีปกติของเสื้อคลุมด้วย ด้านข้างซ้ายของชุดคลุมมักพลิกให้เห็นด้านขวาของลำตัว หลังจากมีการเปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมยาวก็กลายเป็นเสื้อผ้าหลักของเจได แม้แต่ในสมรภูมิ เจไดยังใส่กางเกงอีกด้วย โอบิ เข็มขัดหนังสาระพัดประโยชน์ ที่ซึ่งพวกเขาเก็บเครื่องมือพิเศษสำหรับในภารกิจของพวกเขา และบูทหนัง สีของเจไดแสดงให้เห็นความกลมกลืนกับพลัง ซึ่งมีรูปร่างตรงกันข้ามกับซิธผู้ซึ่งแต่งกายโดยใช้สีดำเป็นหลักอย่างสิ้นเชิง ในการเห็นพ้องต้องใจของพวกเขาในเรื่องการไร้ความยึดติด ชุดแสดงให้เห็นว่าบางที่ก็ไม่จำเป็นในทีเดียว

เจไดแห่งสาธารณรัฐถูกต้องห้ามมิให้มีความผูกพันที่แรงกล้า ดังที่พวกเขาเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ความรู้สึกของด้านมืด ด้วยเหตุนี้ เจไดจึงห้ามให้มีการแต่งงาน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์อาจเป็นคำสั่งเสียในเรื่องการระมัดระวังของเจได เหมือนที่เขากลัวการสูญเสียภรรยาลับของเขา คือ แพดเม่ อมิดาลาเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาจมลงสู่ด้านมืดของพลัง แต่การติดต่อกับลูกชายของเขา ลุค สกายวอล์คเกอร์ จะนำเขากลับสู่แสงสว่าง แม้ว่าเจไดไม่ได้มีข้อต้องการว่าจะต้องเป็นพรหมจรรย์ บางคนอาจมีความจำเป็นต้องมีทายาท ดังเช่นหนึ่งในกรณีพิเศษที่ได้ถูกบันทึกไว้ คือกรณีของ คิ-อดิ-มันดิิซึ่งเป็นชาวดาวซีเรียที่มีอัตราการเกิดต่ำ และอัตราเพศชายต่อเพศหญิงเป็น 1:10 จึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้สมรสโดยมีภรรยาหลายคนได้ และเป็นพ่อของลูกสาว 7 คน ลูกชาย 1 คนรานิค โซลูซาร์ถูกสั่งสอนวินัยจากสภาในการแต่งงานของเขาและลูกที่เกิดแต่ก็ไม่ได้ถูกขับออกจากการเป็นเจได

แม้จะมีข้อจำกัดนี้ เจไดรู้การที่จะมีความลับ ความสัมพันธ์อย่างลับๆ กับคนที่ไม่ใช่เจได เช่น การแต่งงานของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์กับแพดเม่ อมิดาลา ควินลัน วอสและคาลีน เฮนทซ์ และนีจา ฮัลซีอนกับซีร่า ฮัลซีอน หรือกับคนในนิกายเจได เช่น ความสัมพันธ์ของคิท ฟิสโตกับเอย์ล่า ซีคูร่า ไคว-กอน จินกับทาฮ์ล โอบี-วัน เคโนบีกับซีริ ทาชิ และโทล์มกับทีอซา ความสัมพันธ์พวกที่ส่วนมากไม่ได้นำไปสู่โชคร้าย ไกลออกไป รีแวนแบ่งปันความรักกับแบสติล่า ชานซึ่งทำให้เธอพ้นความชั่วร้าย

ความด่างพร้อยอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดในสภาสูงในเรื่องนี้ นี่นำไปสู่ความโกลาหลของโจลี บินโดกับภรรยาของเขา นายาม่า บินโด ในช่วงมหาสงครามซิธ บินโดฝึกสอนภรรยาของเขาให้ใช้พลัง แต่แล้วไม่นานเธอก็จมลงสู่ด้านมืด เขาไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากนิกาย แต่กลับถูกเลื่อนขั้นให้เป็นอัศวินเจไดอีกครั้ง เขาจึงเสียศรัทธาในความไตร่ตรองของสภาและออกจากนิกาย

มาถึงยุคเปลี่ยนแปลงของรูซานน์ เจไดบางคนได้ทำการแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้แต่ทั้งครอบครัวก็เกิดมาจากเจได เช่น ครอบครัวของเอ็นเดอร์ ซันไรเดอร์ เด็กจากครอบครัวเจไดมักมีพรสวรรค์ในพลัง แม้ว่าต่อมาในนิกาย ครอบครัวก็ยังมีอยู่แม้ว่าการสืบเชื้อสายนั้นผ่านจากสมาชิกของครอบครัวแต่ละคนซึ่งไม่ได้เป็นเจได ครอบครัวเจไดแห่งสาธารณรัฐล่าสุดยังรวมถึงครอบครัวคูนและครอบครัวเดธท์

เส้นทางของเจไดนั้นเป็นชีวิตที่ยืนยาว เจไดมักใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในนิกาย เรียนรู้เกี่ยวกับนิกายและพลังมากขึ้น และเดินตามเจตนารมณ์ของสภาเจได จนกระทั่งเกิดสงครามโคลน ซึ่งมีเจไดเพียง 20 คนเท่านั้น (ทั้งอัศวินหรือสูงกว่า) กล่าวว่าจะออกจากนิกาย อย่างผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเคาท์นดูกูและปรมาจารย์ฟาเนียส พวกเขาเหล่านี้ถูกเรียกว่าผู้สูญหายทั้ง 20 หรือเรียกง่ายๆ ว่า"ผู้หลงทาง"