เจ้าพระยาอภัยภูธร (? - พ.ศ. 2370) นามเดิม
น้อย ดำรงตำแหน่งเป็น
สมุหนายกในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและต้นรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นบุตรของ
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (บุญรอด) ซึ่งเป็นต้นสกุล"บุณยรัตพันธุ์" เป็นเสนาบดีกรมวังในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) มีพี่น้องได้แก่
เจ้าจอมมารดาสี ในรัชกาลที่ 2 หรือ"เจ้าคุณพี"
เจ้าจอมมารดาแก้ว ในรัชกาลที่ 3 และพระอนุชิตชาญไชย (ขุนทอง)
[1] เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ปรากฏครั้งแรกว่ารับราชการเป็นพระอนุชิตราชา
[2] จางวางกรมพระตำรวจขวาในรัชกาลที่ 1 จากนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในพ.ศ. 2352 ทรงแต่งตั้งพระอนุชิตราชา (น้อย) ขึ้นเป็นเจ้าพระยายมราช เสนาบดีกรมพระนครบาลในปีพ.ศ. 2352 นั้น
พระเจ้าปดุงส่งกองทัพเรือพม่าเข้ารุกรานเมืองถลางเกาะภูเก็ต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพจากกรุงเทพฯลงไปสมทบกับ
เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ที่เมือง
นครศรีธรรมราชเพื่อยกทัพเข้าป้องกันเมืองถลาง แต่เมื่อเจ้าพระยายมราช (น้อย) และเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ยกทัพไปถึงเมือง
ตรังแล้วประสบปัญหาขาดแคลนเรือ
[3]ต้องต่อเรือใหม่ ทัพพม่าจึงสามารถเข้ายึดเมืองถลางได้ จนกระทั่งในภายหลังเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ส่ง
พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ยกทัพเรือไปยึดเมืองถลางคืนมาได้สำเร็จในพ.ศ. 2354 พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวนซึ่งฝักใฝ่สยามก่อการกบฏขึ้นต่อ
สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาซึ่งฝักใฝ่ญวน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไปยังกัมพูชาเพื่อไกล่เกลี่ยการวิวาทระหว่างนักองค์จันและนักองค์สงวน เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไปยังเมือง
พระตะบองในพ.ศ. 2355 และตั้งมั่นอยู่ที่เมือง
โพธิสัตว์ ส่งสาส์นถึงพระอุไทยราชานักองค์จันขอให้ยุติการวิวาท
[3] แต่พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ไม่ตอบ เจ้าพระยายมราช (น้อย) จึงนำนักองค์สงวนยกทัพเข้าโจมตีเมือง
อุดง พระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชาหลบหนีไปยังเมือง
ไซ่ง่อนอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ"องต๋ากุน"
เลวันเสวียต (Lê Văn Duyệt) ข้าหลวงญวนประจำเวียดนามภาคใต้ นักองค์อิ่มและ
นักองค์ด้วง อนุชาอีกสององค์ของพระอุไทยราชานักองค์จันเข้าร่วมกับฝ่ายสยาม เจ้าพระยายมราช (น้อย) มีสาส์นถึงองต๋ากุนแจ้งว่าการยกทัพมาครั้งมีจุดประสงค์เพื่อมาไกล่เกลี่ยเท่านั้น
[3] แต่ทั้งนักองค์จันและองต๋ากุนไม่ตอบ ทัพของเจ้าพระยายมราช (น้อย) ที่ตั้งอยู่ที่เมืองอุดงนั้นขาดเสบียงอาหาร
[3]จึงถอยทัพกลับพร้อมทั้งนำเจ้าชายเขมรทั้งสามได้แก่นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วงกลับมาที่กรุงเทพฯด้วย เมื่อทัพฝ่ายสยามถอนกลับไปแล้ว องต๋ากุนเลวันเสวียตจึงนำพระอุไทยราชานักองค์จันมาครองราชสมบัติดังเดิมที่เมือง
พนมเปญหลังจากเสร็จสิ้นศึกสงครามกัมพูชาแล้ว หลังจากที่
เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน รัตนกุล) ถึงแก่อสัญกรรม
[2] พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายก ในพ.ศ. 2356 โปรดฯให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) เป็นแม่กองคุมการสร้างทำนบกั้นลำน้ำที่เมือง
อ่างทอง[3]เมื่อพ.ศ. 2368 นาย
เฮนรี เบอร์นี (Henry Burney) เดินทางมาถึงกรุงเทพฯในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเฮนรี เบอร์นี ได้เข้าพบกับ"เจ้าพระยาจักรี" หรือเจ้าพระยาอภัยภูธรที่สมุหนายก ดังปรากฏในเอกสารของเฮนรีเบอร์นี "On the evening of this day I paid my first visit to Chou Pya Chakri, who is generally considered the First Minister of Siam-"
[4] ซึ่งเฮนรีเบอร์นีได้บรรยายลักษณะของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ไว้ว่าอายุประมาณหกสิบปี เคยรบมีชัยชนะในกัมพูชา เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากกว่าเสนาบดีคนอื่นใดของสยาม
[4]พ.ศ. 2369
กบฏเจ้าอนุวงศ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ยกทัพไปทาง
เพชรบูรณ์เพื่อเข้าโจมตีทัพของ
เจ้าราชวงศ์ (เหง้า) บุตรของเจ้าอนุวงศ์ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่
หล่มสัก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2370 เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ร่วมกับพระยาเพ็ชรพิชัย
[5]เข้าโจมตีกระหนาบทัพของเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) สองด้าน ทัพของเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) แตกพ่ายไป จากนั้นเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) จึงยกทัพไปตั้งอยู่ที่พานพร้าวริมฝั่ง
แม่น้ำโขง (ปัจจุบันคือตำบลพานพร้าว
อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย) ตามเสด็จ
กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในขณะนั้นเกิดไข้ป่วงระบาดขึ้นในค่ายพานพร้าว เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ล้มป่วยถึงแก่อสัญกรรม กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์จึงมีพระราชบัณฑูร
[5]ให้ญาติพี่น้องของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) นำศพของเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) กลับลงมายังกรุงเทพฯ เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) มีบุตรธิดาดังต่อไปนี้
[1]