ประวัติ ของ เดลินิวส์

เดลิเมล์ และ บางกอกเดลิเมล์ 2493-2501

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ถือกำเนิดจากความตั้งใจของนายห้างแสง ที่ดำเนินกิจการโรงพิมพ์ประชาช่าง มาเป็นเวลา 5 ปี นับว่ามีประสบการณ์ในแวดวงน้ำหมึกอยู่พอสมควร จึงตัดสินใจซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ กรุงเทพ เดลิเมล์ (อังกฤษ: Bangkok Daily Mail) ของนายหลุย คีรีวัตน์ ซึ่งได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476

เริ่มจากการออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์ เดลิเมล์วันจันทร์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2493 โดยนายห้างแสง เป็นเจ้าของ และผู้อำนวยการ และจ้าง บริษัท ประชาช่าง จำกัด ของนายห้างแสงเอง เป็นผู้พิมพ์ ซึ่งมีพาดหัวข่าวในฉบับปฐมฤกษ์ว่า “นักศึกษา มธก.รากเลือดค้าน ก.พ.”

จนกระทั่งเมื่อราวปี พ.ศ. 2500 หนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ รายวัน ฉบับบ่าย จำนวน 6 หน้า ราคาฉบับละ 50 สตางค์ มียอดจำหน่าย 3,500 ฉบับต่อวัน และนับเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับแรก ที่ขยายขนาดหน้ากว้างเพิ่มขึ้น จากเดิม 7 เป็น 8 คอลัมน์นิ้ว จนกลายเป็นบรรทัดฐานของหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์รายวันในยุคต่อมา

แต่เมื่อรัฐบาล จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ถูกรัฐประหารโค่นล้มลงโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากนั้น จอมพลสฤษดิ์จึงเข้าตรวจสอบหนังสือพิมพ์หลายฉบับอย่างเข้มงวด รวมทั้งเดลิเมล์ และบางกอกเดลิเมล์ด้วย โดยจอมพลสฤษดิ์ ออกคำสั่งให้จับกุมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายคน จากหลายฉบับ และบางรายถึงกับเสียชีวิตในที่คุมขัง ภายหลังจากนั้น

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นายห้างแสงได้ทราบว่า จะมีคำสั่งงดใบอนุญาตประกอบการหนังสือพิมพ์ เข้ามาถึงโรงพิมพ์ จึงสั่งให้กองบรรณาธิการที่ยังไม่ถูกจับกุม เร่งทำงานอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้เดลิเมล์สามารถออกจำหน่ายได้ในวันรุ่งขึ้นอีก 1 วัน แต่ขณะที่แท่นพิมพ์กำลังเริ่มกระบวนการพิมพ์นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลกลุ่มหนึ่ง เดินทางมาถึงสำนักงานเดลิเมล์ พร้อมแจ้งว่า กรมตำรวจ โดยคำสั่งคณะปฏิวัติ มีคำสั่งให้ปิดเดลิเมล์รายวันอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุให้ยึด และปิดแท่นพิมพ์ เพื่อห้ามทำการพิมพ์ จนกว่าจะมีคำสั่งอนุญาตเป็นอย่างอื่น จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนำครั่งประทับบนแท่นพิมพ์ พร้อมใช้โซ่ล่ามแท่นอย่างแน่นหนา นับเป็นการยุติการดำเนินงานของเดลิเมล์ นับแต่วันนั้นเอง

แนวหน้าแห่งยุค “เดลินิวส์” 2507-2522

หลังจากนั้น นายห้างแสงก็ยังมีความประสงค์ จะดำเนินกิจการออกหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่องตลอดมา จนกระทั่งซื้อหัวหนังสือพิมพ์แนวหน้าในขณะนั้นมาได้ กองบรรณาธิการจึงคิดปรับปรุงผสมผสานชื่อหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมโยงได้ว่า เป็นกองบรรณาธิการชุดเดียวกับเดลิเมล์ จนกลายเป็นชื่อใหม่ แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ เริ่มพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2507 มีนายประพันธ์ เหตระกูล บุตรชายนายห้างแสง เป็นบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาโดยตำแหน่ง และ บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด เป็นเจ้าของ เมื่อยุคเริ่มแรก มีจำนวน 16 หน้า ราคา 1 บาท ส่วนพาดหัวข่าวในฉบับวันนั้นคือ “เมียน้อยจอมพลสฤษดิ์ท้องในอเมริกา พบรักแท้กับนักเรียนไทยวัยรุ่น”

แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มีจุดขายในช่วงแรก คือการนำเสนอข่าวอนุภรรยาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีทั้งนางงาม ดารา นักร้อง นักแสดง และสาวงามทั่วแผ่นดิน จำนวนถึง 103 คน จนกระทั่งได้รับฉายา จอมพลผ้าขาวม้าแดง ตลอดจนการเปิดโปงถึง มรดกจำนวนมหาศาลถึง 2,874 ล้านบาท ของจอมพลสฤษดิ์ รวมถึงข่าวอาชญากรรมสำคัญอีกหลายชิ้นด้วย

ในขณะที่อัตราค่าโฆษณา เมื่อปี พ.ศ. 2508 สี่สีอยู่ที่หน้าละ 5,000 บาทต่อวัน และหน้าขาว-ดำ 20 บาทต่อ 1 คอลัมน์นิ้วต่อวัน ต่อมาช่วงปี พ.ศ. 2516-พ.ศ. 2517 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการขึ้นราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลกระทบถึงการดำเนินธุรกิจหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับในเวลานั้น ก็พร้อมใจกันขึ้นราคาอีก 50 สตางค์ อย่างถ้วนหน้า จึงได้มีการปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาไปพร้อมกันนี้

โดยในช่วงดังกล่าว ทีมข่าวการเมือง ได้ลงบทวิเคราะห์เจาะลึก หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงมหาดไทย ในยุคคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน อาศัยอำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์ ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 และอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 (ปร.42) สั่งลงโทษ แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในข้อหาเสนอข่าว ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยให้ปิดกิจการอย่างไม่มีกำหนด แต่หลังจากนั้น 15 วัน จึงให้เปิดดำเนินการได้

โดยหลังจากกลับมาออกจำหน่ายอีกครั้ง แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ก็เริ่มปรับปรุงโฉมใหม่ ทั้งหัวหนังสือพิมพ์ จากพื้นสีบานเย็นตัวเจาะขาว มาเป็นสีบานเย็นสดใส โดยเฉพาะฉบับวันอาทิตย์ ได้เพิ่มคอลัมน์ “บิวตี้ฟูลซันเดย์” และออกเป็นฉบับพิเศษ เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 58 หน้า ราคาเท่าเดิม ในทุกวันจันทร์ จึงให้ชื่อฉบับพิเศษนี้ว่า “เก๋วันจันทร์” โดยเริ่มต้นในฉบับวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2519

เดลินิวส์ 2522-ปัจจุบัน

ต่อมา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2521 นายชลอ อยู่เย็น ขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร แทนนายประพันธ์ ที่ขึ้นเป็น กรรมการอำนวยการบริหาร ฝ่ายวางแผนการผลิตและการตลาด ต่อมาในปีเดียวกัน นายบรรเจิด ทวี ขึ้นเป็นบรรณาธิการบริหาร โดยทั้งสองรับงานบริหาร แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ อยู่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น จนกระทั่ง นายประชา เหตระกูล น้องชายนายประพันธ์ เข้ารับตำแหน่ง บรรณาธิการบริหาร ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน

โดยนายประชาได้เข้ามาปรับปรุง แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ ในหลายประการ เช่นเพิ่มเนื้อหาขึ้นจาก 16 หน้า เป็น 20 และ 24 หน้า ตามลำดับ โดยราคาจำหน่ายคงเดิม ที่สำคัญคือ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2522 บริษัท สี่พระยาการพิมพ์ จำกัด ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตเปลี่ยนชื่อหนังสือพิมพ์จาก แนวหน้าแห่งยุคเดลินิวส์ มาเป็น เดลินิวส์ และได้รับอนุญาตจากทางราชการ ให้ใช้ชื่อดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ปีเดียวกันนั้น เป็นต้นมา และในวันที่ 15 กรกฎาคม นายห้างแสงมีดำริให้ขยับขยายสำนักงานเดลินิวส์ จากเลขที่ 423 ถนนสี่พระยา ไปยังอาคาร 4 ชั้น ที่ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 4/3 ถนนวิภาวดีรังสิต จนถึงปัจจุบัน

ในช่วงนี้ได้มีการพัฒนาโฉมใหม่ ทั้งรูปเล่มและเนื้อหา ในปี พ.ศ. 2522 ขยับราคาเป็น 2 บาท และขึ้นเป็น 3 บาท ในปี พ.ศ. 2523 จากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2529 เดลินิวส์เริ่มการพิมพ์ภาพข่าวสี่สีเป็นครั้งแรก คือภาพโศกนาฏกรรมกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ระเบิดกลางอากาศ และต่อมาในปี พ.ศ. 2531 เดลินิวส์ตีพิมพ์ภาพข่าวสี่สี อันเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง คือภาพข่าว นางสาวภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก สวมมงกุฎรับตำแหน่งนางงามจักรวาลที่ไต้หวัน โดยมีภาพสี่สีถึงสองส่วน

จากนั้น เดลินิวส์ก็เปิดแนวคิดแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วน อย่างชัดเจนเป็นฉบับแรก โดยแบ่งข่าวหน้า 1 ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม ข่าวต่างประเทศ ข่าวเกษตร คอลัมน์ และสกู๊ปวาไรตี้สี่สี เป็นส่วนแรก และส่วนที่สอง เริ่มด้วยข่าวกีฬา ข่าวสังคมสตรี ข่าว กทม. ข่าวภูมิภาค และปิดท้ายด้วยข่าวบันเทิง ต่อมา เดลินิวส์วางแผนขยับขยายสถานที่เพิ่มเติมอีกครั้ง โดยก่อสร้างอาคารสำนักงานหลังใหม่ จำนวน 9 ชั้น บนที่ดินผืนเดียวกับอาคารหลังเดิม

ปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายวัน มีนายอภิชัย รุ่งเรืองกุล เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ราคาจำหน่ายฉบับละ 10 บาท จำนวนหน้าระหว่าง 28-48 หน้า และยอดจำหน่ายเป็นอันดับสองของประเทศ รองจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ