ชีวิตและการทำงาน ของ เทย์เลอร์_สวิฟต์

1989–2003: ชีวิตช่วงแรก

เทย์เลอร์ สวิฟต์ เกิดในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่เรดดิง รัฐเพนซิลเวเนีย[1] พ่อของเธอชื่อ สกอตต์ คิงสลีย์ สวิฟต์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน แม่ของเธอ แอนเดรีย การ์ดเนอร์ (ชื่อก่อนสมรส ฟินเลย์) สวิฟต์ เป็นผู้รับจ้างทำงานบ้านที่เคยทำงานเป็นกรรมการบริหารกองทุนรวม[2] สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน[3] สวิฟต์ใช้ชีวิตช่วงปีแรก ๆ ในไร่นาต้นคริสต์มาสทีพ่อซื้อต่อจากลูกค้าคนหนึ่ง[4][5] เธอเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล และชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอัลเวอร์เนียมอนเทสซอรีสกูล เปิดสอนโดยแม่ชีคณะฟรันซิสกัน[6] ก่อนย้ายเข้าโรงเรียนวินด์ครอฟต์สกูล[7] ต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชานเมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย[8] เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนไวโอมิสซิงเอเรียจูเนียร์/ซีเนียร์ไฮสกูล[9]

เมื่ออายุ 9 ปี สวิฟต์เริ่มสนใจการละครเวที และแสดงในละครเวทีที่เบิกส์ยูธเธียเตอร์อะคาเดมี[10] เธอเดินทางไปบรอดเวย์เป็นประจำเพื่อเรียนร้องเพลงและการแสดง[11] ต่อมาสวิฟต์เริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่ดนตรีคันทรี เพลงของชะไนยา ทเวน ทำให้เธอ "อยากวิ่งรอบช่วงตึก 4 รอบและฝันกลางวันถึงทุกสิ่งทุกอย่าง"[12] เธอใช้เวลาสุดสัปดาห์แสดงตามงานเทศกาลในท้องถิ่น และอีเวนต์ต่าง ๆ[13][14] หลังจากชมสารคดีเกี่ยวกับเฟธ ฮิลล์ สวิฟต์รู้สึกมั่นใจว่าเธอต้องการเดินทางไปสานฝันงานดนตรีที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี[15] เมื่ออายุ 11 ปี เธอเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่เพื่อส่งเดโมเพลง ซึ่งเป็นเพลงคาราโอเกะของดอลลี พาร์ตัน และดิกซีชิกส์ นำมาขับร้องใหม่[16] แต่เธอถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุที่ว่า "ทุกคนในเมืองนั้นก็อยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำเหมือนกัน ดังนั้น ฉันจึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ฉันต้องหาทางทำสิ่งที่แตกต่างออกไป"[17]

เมื่อสวิฟต์อายุ 12 ปี รอนนี เครเมอร์ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์และนักดนตรี สอนเธอเล่นกีตาร์ 3 คอร์ด บันดาลให้เธอเขียนเพลงแรก "ลักกียู"[18][19] ใน 2003 สวิฟต์และพ่อแม่ของเธอเริ่มทำงานกับผู้จัดการดนตรี แดน ดิมโทรว์ ในนิวยอร์ก ด้วยความช่วยเหลือของดิมโทรว์ สวิฟต์เป็นแบบให้แก่บริษัทเอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ "ไรซิงสตาส์" และมีเพลงต้นฉบับรวมในอัลบั้มรวมเพลงของตราสินค้าเมย์เบลลีน และเข้าร่วมประชุมกับค่ายเพลงหลักมากมาย[20] หลังจากแสดงเพลงที่งานมหรสพของสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์ สวิฟต์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นเกรด 8 ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้อง และเริ่มเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่ของเธอบ่อยขึ้น[21][22]

พ่อของเธอย้ายไปทำงานออฟฟิศของเมร์ริลลินช์ที่แนชวิลล์เพื่อช่วยส่งเสริมสวิฟต์ทำงานดนตรีคันทรี ขณะที่เธออายุ 14 ปี และครอบครัวย้ายที่อยู่ไปที่บ้านริมทะเลสาบในเฮนเดอร์สันวิลล์ รัฐเทนเนสซี[4][23] สวิฟต์เข้าเรียนที่โรงเรียนเฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล[24] แต่เรียนได้สองปี เธอก็ย้ายไปเรียนที่สถาบันแอรอนอะคาเดมี โรงเรียนคริสต์เอกชนที่มีบริการเรียนที่บ้านได้ เพื่อให้สะดวกต่อการทัวร์ และเธอจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี[25]

2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์

ที่แนชวิลล์ เธอร่วมงานกับนักแต่งเพลงย่านมิวสิกโรว์มากมาย เช่น ทรอย เวอร์จิส เบรตต์ บีเวอส์ เบรตต์ เจมส์ แม็ก แม็กอะแนลลี และเดอะวอร์เรนบราเธอส์[26][27] จนเธอได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานชื่อ ลิซ โรส[28] พวกเธอประชุมกันในคาบแต่งเพลงทุกวันอังคารตอนบ่ายหลังเรียน[29] โรสกล่าวว่า คาบแต่งเพลงนั้นเป็น "อะไรที่ง่ายที่สุดที่ฉันเคยได้ทำ พูดง่าย ๆ คือ ฉันเป็นบรรณาธิการของเธอ เธอจะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในวันนั้น เธอมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการจะพูด และเธอจะคิดท่อนสร้อยที่น่าเหลือเชื่อได้เสมอ" สวิฟต์ได้เซ็นสัญญากับโซนี/เอทีวีทรีพับลิชชิง[30] แต่ลาออกจากสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์เมื่ออายุ 14 ปี[14] เธอระลึกได้ว่า "ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังหมดเวลา ฉันอยากเก็บความทรงจำในชีวิตของฉันหลายปีมานี้ไว้ในอัลบั้มสักอัลบั้ม ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงแทนสิ่งที่ฉันเคยผ่านมาได้อยู่"[31]

สวิฟต์แสดงที่สำนักงานใหญ่ ยาฮู! ในซันนีเวล รัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 2007

ณ งานมหรสพแห่งหนึ่งที่ร้านกาแฟบลูเบิร์ดคาเฟในเมืองแนชวิลล์เมื่อ ค.ศ. 2005 สวิฟต์เป็นที่ต้องตาต้องใจของสก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้บริหารค่ายดรีมเวิกส์เรเคิดส์ที่กำลังเตรียมตัวก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตนในชื่อ บิกแมชีนเรเคิดส์ เธอเคยพบกับบอร์เชตตาแล้วในปี ค.ศ. 2004[32] เธอได้เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา โดยพ่อของเธอจ่ายเงินช่วยบริษัท 3% เป็นเงินจำนวนประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ[33][34]สวิฟต์เริ่มทำอัลบั้มแรกของเธอโดยตั้งชื่อเธอให้เป็นชื่ออัลบั้มไม่นานหลังเซ็นสัญญา สวิฟต์โน้มน้าวให้ค่ายบิกแมชีนจ้างโปรดิวเซอร์เพลงชื่อนาธาน แชปแมน ที่เธอรู้สึกว่ามีเคมีตรงกัน[14] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบั้มเอง 3 เพลง และร่วมแต่งเพลงที่เหลืออีกแปดเพลงกับนักแต่งเพลง เช่น โรส เอลลิส ออร์รอล ไบรอัน เมเฮอร์ และแอนเจโล เพทราเกลีย[35] อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2006[36] จอน คารามานิกา จากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดถึงอัลบั้มนี้ว่าเป็น "งานเล็ก ๆ ชิ้นเยี่ยมที่เป็นคันทรีผสมป็อป ทั้งเรียบง่ายและถากถาง รวมกันไว้ด้วยเสียงร้องที่อ้อนวอนและแน่วแน่ของคุณสวิฟต์"[37] อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ขึ้นสูงสุดอันดับที่ห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตนาน 157 สัปดาห์ นานที่สุดในบรรดาอัลบั้มที่ออกในคริสต์ทศวรรษ 2000[38] นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 อัลบั้มขายได้มากกว่า 7.75 ล้านชุดทั่วโลก[39]

บิกแมชีนเรเคิดส์เพิ่งเปิดค่ายใหม่ ขณะที่ออกซิงเกิลนำ "ทิม แม็กกรอว์" ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 สวิฟต์กับแม่ช่วยกัน "นำซีดีซิงเกิลใส่ซองจดหมายและส่งให้สถานีวิทยุ"[40] เธอใช้เวลาทั้งปี ค.ศ. 2006 เดินสายส่งเสริมอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ตามสถานีวิทยุและรายการโทรทัศน์[41][42] บอร์เชตตากล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจให้เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เซ็นสัญญา แรกเริ่มทำให้เพื่อนร่วมวงการเป็นกังวล แต่สวิฟต์ก้าวเข้าสู่กลุ่มตลาดดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นสาวที่ฟังเพลงคันทรี[4] หลังจากออกซิงเกิล "ทิม แม็กกรอว์" มีซิงเกิลออกตามมาอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี ค.ศ. 2007-2008 ได้แก่ "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" "อาวเวอร์ซอง" "พิกเชอร์ทูเบิร์น" และ "ชูดัฟเซดโน" ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี "อาวเวอร์ซอง" และ "ชูดัฟเซดโน" ขึ้นอันดับหนึ่ง เพลง "อาวเวอร์ซอง" ทำให้สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งเอง ร้องเพลงคันทรีเอง และขึ้นอันดับหนึ่งได้[43] "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" กลายเป็นเพลงแนวป็อปที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง ขึ้นอันดับ 13 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[44] สวิฟต์ยังออกอัลบั้มวันหยุด ได้แก่ ซาวส์ออฟเดอะซีซัน: เดอะเทย์เลอร์ สวิฟต์ฮอลลิเดย์คอลเล็กชัน เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 และอีพีชื่อ บิวตีฟูลอายส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008[45][46] เธอส่งเสริมอัลบั้มแรกเพิ่มเติมด้วยการพบปะทักทายกับแฟนเพลง ร้องเพลงที่ได้รับความนิยม และเป็นศิลปินเปิดคอนเสิร์ตให้ศิลปินคนอื่น ๆ[47]

สวิฟต์ได้รับรางวัลจากอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ หลายรางวัล เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี โดยสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ในปี ค.ศ. 2007 เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้[48] เธอยังได้รางวัลฮอไรซันอะวอร์ดสาขาศิลปินหน้าใหม่โดยสมาคมดนตรีคันทรี[49] รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขานักร้องนำหญิงคนใหม่ยอดเยี่ยม[50] และรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดสาขาศิลปินคันทรีหญิงคนโปรด[51] เธอยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมปี 2008[52] ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เธอคบหากับโจ โจนาส แต่ความสัมพันธ์จบลงหลังจากนั้นสามเดือน[53][54]

2008–2010 : อัลบัมเฟียร์เลส และการแสดง

สตูดิโออัลบัมที่สองของสวิฟต์ชื่อ เฟียร์เลส วางจำหน่ายวันที่ 11 พฤศจิกายน 2008[36] ซิงเกิลนำ "เลิฟสตอรี" ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน 2008 ขึ้นสูงสุดอันดับที่สี่บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[55] และอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย[56] มีซิงเกิลออกจำหน่ายอีกสี่ซิงเกิลตลอดปี 2008-2009 ได้แก่ "ไวต์ฮอร์ส" "ยูบีลองวิทมี" "ฟิฟทีน" และ "เฟียร์เลส" เพลง "ยูบีลองวิทมี" เป็นซิงเกิลที่ขึ้นอันดับสูงที่สุดในอัลบัม ขึ้นถึงอันดับที่สองบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[57] อัลบัมเปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 เป็นอัลบัมที่ขายดีที่สุดในสหรัฐในปี 2009[58] สวิฟต์ออกทัวร์ของตนเองครั้งแรกส่งเสริมอัลบัมเฟียร์เลส ในทัวร์ชื่อเฟียร์เลสทัวร์[59] ทำรายได้ได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[60] ภาพยนตร์คอนเสิร์ต เทย์เลอร์ สวิฟต์: เจอร์นีย์ทูเฟียร์เลส ออกอากาศทางโทรทัศน์และจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์[61] สวิฟต์ยังแสดงรับเชิญในทัวร์ชื่อ เอสเคปทูเก็ตเทอร์เวิลด์ทัวร์ ของคีท เออร์เบิน[62]

ภาพถ่ายในงานเปิดตัวภาพยนตร์แฮนนาห์ มอนทานา: เดอะมูฟวี สวิฟต์ปรากฏตัวในภาพยนตร์ และอัดเพลงประกอบสองเพลง[63][64]

ใน 2009 มิวสิกวิดีโอเพลง "ยูบีลองวิทมี" ได้รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด สาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม[65] ขณะเธอกล่าวรับรางวัล แร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เข้ามาขัดจังหวะ[66] เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อบ่อยครั้ง ทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตมีม[67] เจมส์ มอนต์โกเมอรี จากเอ็มทีวีเถียงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวและความสนใจจากสื่อทำให้สวิฟต์กลายเป็น "คนดังตามกระแสอย่างแท้จริง"[68] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาศิลปินแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรีชมเชย[69] บิลบอร์ดแต่งตั้งให้เธอเป็นศิลปินแห่งปี 2009[70] อัลบัมติดอันดับ 99 ในรายชื่ออัลบัมเพลงผู้หญิงยอดเยี่ยม จัดอันดับโดยเอ็นพีอาร์[71]

ใน 2010 สวิฟต์ได้รับรางวัลมากมายจากอัลบัมเฟียร์เลส ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เฟียร์เลสได้รางวัลอัลบัมแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรียอดเยี่ยม ขณะที่เพลง "ไวต์ฮอร์ส" ได้รางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และการแสดงเพลงคันทรีหญิงยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปี[72] ในงาน สวิฟต์ร้องเพลง "ยูบีลองวิทมี" และ "รีแอนนอน" กับสตีวี นิกส์ การแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์และปฏิกิริยาที่ไม่ดีจากสื่อ[68][73] จอน คารามานิกาจากเดอะนิวยอร์กไทมส์เห็นว่า "น่าชื่นใจที่เห็นคนบางคนมีพรสวรรค์จนบางครั้งก็มีผิดพลาดบ้าง" และพูดถึงสวิฟต์ว่าเป็น "ดาราป็อปคนสำคัญที่สุดคนใหม่ในรอบหลายปี"[74] สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สมาคมดนตรีคันทรีแต่งตั้งเป็นผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี[75] อัลบัมเฟียร์เลสได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีจากสมาคมดังกล่าวด้วย[76]

สวิฟต์ร้องเบื้องหลังให้เพลง "ฮาล์ฟออฟมายฮาร์ต" ของจอห์น เมเยอร์ เป็นซิงเกิลจากอัลบัมที่สี่ แบตเทิลสตัดดีส์ (2009)[77] เธอร่วมแต่งและอัดเพลง "เบสต์เดส์ออฟยัวร์ไลฟ์" กับเคลลี พิกเลอร์[78] และร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์แฮนนาห์ มอนทานา: เดอะมูฟวี สองเพลง ได้แก่ "ยูลออลเวส์ไฟนด์ยัวร์เวย์แบ็กโฮม" และ "เครซีเออร์"[64] สวิฟต์ร้องเพลงให้ซิงเกิล "ทูอิสเบ็ตเทอร์แดนวัน" ของบอยส์ไลก์เกิลส์ แต่งโดยมาร์ติน จอห์นสัน[79] เธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก หนึ่งในนั้นคือเพลง "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" กลายเป็นเพลงแรกที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตคะเนเดียนฮอต 100 [80][81] ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องวาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ในเดือนตุลาคม 2009 เธอเริ่มคบหากับนักแสดง เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แต่เลิกรากันในปีเดียวกัน[82][83] ภาพยนตร์รักตลกเรื่องดังกล่างออกฉายในปีต่อมา เธอแสดงเป็นแฟนสาวทึ่มของหนุ่มบ้านนอกนักเรียนไฮสกูล บทบาทที่ลอสแอนเจลิสไทมส์มองเห็น "ศักยภาพที่ทำให้ดูตลกอย่างจริงจัง"[84] ในบทสัมภาษณ์บทหนึ่ง นิตยสารวาไรตีมองว่าเธอ "ไม่ได้ถูกชี้นำชัดเจน" และแย้งว่า "เธอต้องหาผู้กำกับที่มีความสามารถคอยจำกัดขอบเขตพลังการแสดงที่มีมากเกินไป"[85]

สวิฟต์เริ่มงานแสดงในซีรีส์ ซีเอสไอ: ไครม์ซีนอินเวสติเกชัน ทางช่องซีบีเอส ตอนหนึ่งในปี 2009 รับบทเป็นวัยรุ่นหัวรั้น[86] เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่าตัวละครดังกล่าวทำให้สวิฟต์ดู "ซนเล็กน้อย และซนอย่างเหลือเชื่อ"[87] ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์เป็นทั้งพิธีกรและเป็นแขกรับเชิญตอนหนึ่งในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์[88] เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลีพูดถึงเธอว่า "เป็นพิธีกรรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลย" จากที่เธอ "ดูท้าทายอยู่เสมอ ดูเหมือนจะสนุกสนาน และทำให้นักแสดงที่เหลือเล่นมุกตลกได้หลายมุก" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์คบหากับนักแสดง เจค จิลเลินฮาล เป็นช่วงสั้น ๆ[89]

2010-2012 : อัลบัมสปีกนาว และ เรด

ในเดือนสิงหาคม 2010 สวิฟต์ออกเพลง "ไมน์" ซิงเกิลแรกจากอัลบัมที่สามชื่อ สปีกนาว เข้าชาร์ตที่สหรัฐอันดับที่สาม ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สอง (ถัดจากมารายห์ แครี) ในประวัติศาสตร์ของชาร์ตฮอต 100 ที่เปิดตัวที่ห้าอันดับแรกถึงสองเพลงในปีเดียวกัน อีกเพลงหนึ่งคือ "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล"[90] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบัมเองและร่วมผลิตทุกเพลง[91] อัลบัมสปีกนาว วางจำหน่ายวันที่ 25 ตุลาคม 2010 ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 กลายเป็นอัลบัมที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่มียอดขายถึง 1 ล้านชุดในสัปดาห์แรก[92] อัลบัมทำลายสถิติ "อัลบัมดิจิทัลที่ขายได้เร็วที่สุดโดยศิลปินหญิง" ด้วยยอดดาวน์โหลด 278,000 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สวิฟต์จึงมีชื่อบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เธอยังได้รับบันทึกอีกหนึ่งหัวข้อหลังจากเพลงในอัลบัมสปีกนาว 10 เพลง เปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้[93][94] ซิงเกิลสามซิงเกิล "ไมน์" "แบ็กทูดีเซมเบอร์" และ "มีน" ขึ้นถึงสิบอันดับแรกในแคนาดา[81]

เพลง "มีน" ชนะรางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และแสดงเดี่ยวเพลงคันทรียอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54[95] เธอยังแสดงเพลงนี้ในงานด้วย แคลร์ ซัดดาท จากนิตยสารไทม์รู้สึกว่าเธอ "กลับมาร้องเพลงตรงคีย์และเป็นการแก้ตัว"[96] และเจมี เดียร์เวสเตอร์จากยูเอสเอทูเดย์ กล่าวว่า คำตำหนิเธอเมื่อปี 2010 ทำให้เธอ "เป็นนักแต่งเพลงและนักร้องร้องสดที่ดีกว่าเดิม"[97] สวิฟต์ยังได้รับรางวัลอื่น ๆ กับอัลบัมสปีกนาว เช่น รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี จากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (2010 และ 2011)[98][99] ผู้หญิงแห่งปี จากนิตยสารบิลบอร์ด (2011)[100] และผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี จากโรงเรียนดนตรีคันทรี (2011 และ 2012)[101] และสมาคมดนตรีคันทรีในปี 2011[102] สวิฟต์ได้รับรางวัลศิลปินแห่งปีและอัลบัมเพลงคันทรีชมเชยจากงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2011[103] อัลบัมสปีกนาวรวมในรายชื่อ "อัลบัมเพลงผู้หญิง 50 อัลบัมยอดเยี่ยมตลอดกาล" ของนิตยสารโรลลิงสโตน เมื่อปี 2012 อยู่ในอันดับที่ 45 นิตยสารเขียนว่า "เพลงของเธออาจเปิดในคลื่นวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นหนึ่งในร็อกสตาร์ที่แท้จริงไม่กี่คนที่เรามีในเวลานี้ ที่มีหูกำหนดสิ่งที่ทำให้เพลงมีคุณภาพอย่างไร้ตำหนิ"[104]

สวิฟต์แสดงระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ ในปี 2012

สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อสปีกนาวเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2011 ถึงมีนาคม 2012 และทำรายได้ได้มากกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[105] ในเดือนพฤศจิกายน 2011 สวิฟต์ออกอัลบัมบันทึกการแสดงสด สปีกนาวเวิลด์ทัวร์: ไลฟ์[106] เดือนต่อมา สวิฟต์ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เกมล่าเกม "เซฟแอนด์ซาวด์" ร่วมแต่งและอัดเสียงกับเดอะซีวิลวอส์ และทีโบน เบอร์เน็ตต์ และเพลง "อายส์โอเพน" เพลง "เซฟแอนด์ซาวด์" ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงที่แต่งประกอบสื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[107] หลังจากร้องเพลง "โบทออฟอัส" ให้แก่บี.โอ.บี. ในเดือนพฤษภาคม 2012[108] สวิฟต์คบหากับทายาทนักการเมือง คอเนอร์ เคนเนดี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน 2012[109] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ออกซิงเกิล "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และเป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบัมที่สี่ เรด ซิงเกิลประสบความสำเร็จในต่างประเทศ กลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในสหรัฐและนิวซีแลนด์[110][111] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนไอทูนส์หลังเพลงออกได้ 50 นาที เป็น "ซิงเกิลที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงดิจิทัล" บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[112] จากนั้นสวิฟต์ออกซิงเกิลที่สอง "บีกินอะเกน" ในเดือนตุลาคม เพลงขึ้นอันดับที่เจ็ดในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[113] และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี[113] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบัมออกตามมา ได้แก่ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" "22" "เอเวอรีติงแฮสเชนจด์" "เดอะลาสต์ไทม์" และ "เรด" ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ครั้งใหญ่[114] ขึ้นอันดับที่สองในสหรัฐ[113]

อัลบัมเรดเป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวเพลงของสวิฟต์[36] โดยเธอทดลองแนวเพลงฮาร์ตแลนด์ร็อก ดั๊บสเตป และแดนซ์ป็อป[12] อัลบัมออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2012 ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ อัลบัมเปิดตัวอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 1.21 ล้านชุด เป็นยอดขายเปิดอัลบัมที่สูงที่สุดในทศวรรษ และทำให้สวิฟต์เป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบัมขายสัปดาห์แรกได้ถึงล้านชุดถึงสองอัลบัม บันทึกโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[115][116] ในการส่งเสริมอัลบัม สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ เดอะเรดทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2013 ถึงมิถุนายน 2014 และทำรายได้ได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[117] อัลบัมเรดได้รับรางวัลหลายรางวัล ได้แก่ เข้าชิงรางวัลแกรมมีในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 56 จำนวน 4 รางวัล[118] ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ได้รับรางวัลวิดีโอผู้หญิงยอดเยี่ยม" จากงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013[119] สวิฟต์ได้ชื่อว่าศิลปินคันทรีหญิงยอดเยี่ยมในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2012 และศิลปินแห่งปีในงานของปี 2013[120][121] สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์มอบรางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินให้สวิฟต์ติดต่อกันเป็นปีที่ห้าและหกในปี 2012 และ 2013 ตามลำดับ[122] สวิฟต์ยังได้รับรางวัล พินนาเคิลอะวอร์ด จากสมาคม สำหรับความสำเร็จระดับ "ไม่เหมือนใคร" สวิฟต์เป็นผู้รับรางวัลดังกล่าวเป็นคนที่สองถัดจากการ์ท บรุกส์[123]

ในปี 2013 สวิฟต์ร่วมแต่งเพลง "สวีเทอร์แดนฟิกชัน" กับแจ็ก แอนโทนอฟฟ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่องขอสักครั้งให้ดังเป็นพลุแตก และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 71 สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม[124] เธอร้องรับเชิญให้แม็กกรอว์ ในเพลง "ไฮเวย์โดนต์แคร์" บรรเลงกีตาร์โดยคีท เออร์เบิน[125] สวิฟต์ร้องเพลง "แอสเทียส์โกบาย" กับเดอะโรลลิงสโตนส์ ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ในทัวร์ชื่อ 50 แอนด์เคาน์ติง[126] ต่อมาเธอกล่าวว่าวงนี้มีอิทธิพลหลักต่อภาพลักษณ์งานเพลงของเธอ[127] เธอแสดงกับฟลอริดาจอร์เจียไลน์ในงานคันทรีเรดิโอเซมินาร์ 2013 ในเพลง "ครูส"[128] นอกจากร้องเพลง สวิฟต์พากย์เสียงให้ออเดรย์ คนรักต้นไม้ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน คุณปู่โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง[129] ปรากฏในซิตคอม นิวเกิร์ล (2013)[130] เล่นบทรองในภาพยนตร์ พลังพลิกโลก (2014)[131] ในระหว่างนี้ เธอคบหากับนักร้องชาวบริติช แฮร์รี สไตลส์[132]

2014-2016 : อัลบัม 1989

ในเดือนมีนาคม 2014 สวิฟต์ย้ายมาอาศัยที่แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก[133] ช่วงนี้เธอกำลังทำสตูดิโออัลบัมที่ห้า 1989 ร่วมกับนักแต่งเพลง แอนโทนอฟฟ์ มาร์ติน เชลล์แบ็ก อิโมเจน ฮีป ไรอัน เท็ดเดอร์ และอาลี พายามี[134] สวิฟต์ส่งเสริมอัลบัมผ่านโครงการรณรงค์ต่าง ๆ รวมถึงการเชิญชวนแฟนเพลงให้มาฟังเพลงในอัลบัมแบบลับ ๆ เรียกว่า "1989 ซีเคร็ตเซสชัน" ด้วย[135] อัลบัมดูแตกต่างจากอัลบัมเพลงคันทรีชุดก่อนหน้า สวิฟต์ยกให้เป็น "อัลบัมแรกที่ถูกบันทึกให้เป็นอัลบัมเพลงป็อปอย่างเป็นทางการ"[136] อัลบัมวางจำหน่ายในวันที่ 27 ตุลาคม 2014 ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย[36][137]

สวิฟต์ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต 1989 เวิลด์ทัวร์ ทำรายได้ได้ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่มีรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ

อัลบัม 1989 ขายได้ 1.28 ล้านชุดในสหรัฐในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเปิดตัวสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบัมที่ขายในสัปดาห์แรกเกินหนึ่งล้านชุดถึงสามอัลบัม ทำให้เธอได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[138][139] นับถึงเดือนมิถุนายน 2017 อัลบัม 1989 ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก[140] ซิงเกิลนำของอัลบัม "เชกอิตออฟ" จำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2014 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[141] ซิงเกิลอื่น ๆ ประกอบด้วยซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ "แบลงก์สเปซ" "แบดบลัด" (ร้องรับเชิญโดยเคนดริก ลามาร์) และซิงเกิลที่ขึ้นสิบอันดับแรก ได้แก่ "สไตล์" และ "ไวล์ดิสต์ดรีมส์" และมีซิงเกิล "เอาต์ออฟเดอะวุดส์" และ "นิวโรแมนติกส์"[142] "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ติดอันดันหนึ่งในออสเตรเลียและแคนาดาด้วย[56][81] หลังจากเพลง "แบลงก์สเปซ" ขึ้นอันดับหนึ่งในสหรัฐตามเพลง "เชกอิตออฟ" สวิฟต์กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีเพลงอันดันหนึ่งแทนที่เพลงของตนเองในประวัติศาสตร์ชาร์ตฮอต 100[143] มิวสิกวิดีโอเพลง "แบลงก์สเปซ" เคยเป็นวิดีโอที่มียอดผู้ชมขึ้นถึงหนึ่งพันล้านครั้งเร็วที่สุดในวีโว[144] "แบลงก์สเปซ" และวิดีโอเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลสี่รางวัลที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2015 โดยเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี และเพลงร่วมขับร้องยอดเยี่ยมด้วย[145] ในทัวร์เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม 2015 ทัวร์ยังคงทำรายได้ต่อไปได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ[146]

สวิฟต์ได้เป็นผู้หญิงแห่งปีของนิตยสารบิลบอร์ดในปี 2014 กลายเป็นศิลปินคนแรกที่ได้ชื่อนี้ถึงสองครั้ง[147] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลดิก คลาร์ก อะวอร์ดสำหรับความดีเลิศที่งานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์[148] ที่งานประกาศรางวัลแกรมมี 2015 "เชกอิตออฟ" ได้เข้าชิงสามรางวัล รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงแห่งปี และเพลงแห่งปี ขณะที่ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2015 สวิฟต์ได้รับรางวัลบริตอะวอดส์สาขาศิลปินเดี่ยวหญิงต่างชาติ[149][150] สวิฟต์เป็นหนึ่งในแปดศิลปินที่ได้รับรางวัลครบรอบ 50 ปีของอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ในปี 2015[151] ในปี 2016 สวิฟต์ได้รับรางวัลแกรมมีสามรางวัลจากอัลบัม 1989 ได้แก่ อัลบัมแห่งปี อัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยม และมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง "แบดบลัด" เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นศิลปินคนที่ห้าจากทั้งหมดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีถึงสองครั้ง[152]

ก่อนออกอัลบัม 1989 สวิฟต์เน้นเกี่ยวกับความสำคัญของอัลบัมเพลงที่มีต่อศิลปินและแฟนเพลง[153] และในเดือนพฤศจิกายน 2014 เธอลบเพลงทั้งอัลบัมออกจากสปอทิฟาย โดยแย้งว่าบริการฟรีที่มีโฆษณาสนับสนุนของบริษัทสตรีมมิงบ่อนทำลายบริการระดับพรีเมียมที่ให้ค่าลิขสิทธิ์กับนักแต่งเพลงมากกว่า[154] ในเดือนมิถุนายน 2015 สวิฟต์ตำหนิแอปเปิลมิวสิกผ่านจดหมาย เนื่องจากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่ศิลปินระหว่างบริการสตรีมมิงในช่วงทดลองฟรีสามเดือน และกล่าวว่าเธอจะถอดอัลบัม 1989 ออกจากรายการ[155] วันถัดมา แอปเปิลประกาศว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ศิลปินในช่วงทดลองฟรี[156] สวิฟต์จึงยอมให้สตรีมอัลบัม 1989 ในบริการสตรีมอีกครั้ง[157] บริษัทที่ดูแลการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสวิฟต์ชื่อ ทีเอเอสไรส์แมเนจเมนต์ ฟ้องเครื่องหมายการค้า 73 รายการที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้องเองและมีมต่าง ๆ จากอัลบัม 1989[158] เธอกลับมาเพิ่มเพลงทั้งหมดมาใส่ในสปอทิฟาย อเมซอนมิวสิก และกูเกิล เพลย์ ในเดือนมิถุนายน 2017[159]

ในปี 2015 สวิฟต์ร้องเพลง "ไอซอว์เฮอร์สแตนดิงแดร์" และ "เชกอิตออฟ" ร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในงานสังสรรค์ของรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์โฟร์ทีธ์แอนนิเวอร์แซรีสเปเชียล[160] และร่วมร้องเพลง "บิกสตาร์" กับเคนนี เชสนีย์ ในคืนเปิดคอนเสิร์ตของบิกรีไวเวิลทัวร์ ที่แนชวิลล์[161] ในเดือนมีนาคม 2015 สวิฟต์เริ่มคบหากับดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวสก็อต แคลวิน แฮร์ริส[162] ก่อนเดือนมิถุนายน 2015 ทั้งคู่ได้รับการจัดให้เป็นคู่รักคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในรอบปีโดยนิตยสารฟอบส์ โดยมีรายได้รวมกันมากกว่า 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[163] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์กล่าวว่าแม่ของเธอตรวจพบมะเร็ง และเชิญชวนให้ทุกคนเข้ารับการตรวจสุขภาพทั่วไป[164] ก่อนสวิฟต์กับแฮร์ริสประกาศจบความสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน 2016[165] ทั้งคู่ร่วมแต่งเพลง "ดิสอิสวอตยูเคมฟอร์" (ร้องรับเชิญโดยรีแอนนา) ซึ่งมีชื่อเธอระบุในนามแฝงว่า Nils Sjöberg[166] ในเดือนตุลาคม เธอแต่งเพลง "เบตเทอร์แมน" ให้วงลิตเทิลบิกทาวน์ ให้แก่อัลบัมที่เจ็ด เดอะเบรกเกอร์[167] สองเดือนต่อมา สวิฟต์และเซย์น แมลิก ออกซิงเกิลร่วมกันชื่อ "ไอโดนต์วอนนาลิฟฟอร์เอฟเวอร์" เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ ฟิฟตีเชดส์ดาร์กเกอร์ (2017)[168] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศสวีเดน และอันดับสองในสหรัฐ[169][170] ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2017 ทั้งคู่ได้รับรางวัลร่วมขับร้องเพลงยอดเยี่ยมจากมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าว[171]

2017-2019: เรพิวเทชัน

สวิฟต์แสดงเรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ในเดือนพฤษภาคม 2018

ต้นปี 2017 สวิฟต์คบหากับนักแสดงชาวอังกฤษ โจ อัลวิน[172] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ฟ้องร้องและชนะคดีแพ่งต่อเดวิด มูเอลเลอร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุคลื่นไคโกเอฟเอ็ม ในปี 2013 สวิฟต์เคยชี้แจงหัวหน้าของมูเอลเลอร์ว่าเขาเคยล่วงละเมิดเธอโดยการลูบคลำตัวเธอในงานงานหนึ่ง หลังจากเขาถูกไล่ออก มูเอลเลอร์กล่าวหาเธอว่าโกหกและฟ้องร้องเธอจากเหตุที่ทำให้เขาตกงาน หลังจากนั้นไม่นาน สวิฟต์ฟ้องร้องกลับคดีละเมิดทางเพศ ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาและยกผลประโยชน์ให้สวิฟต์[173] ในเดือนเดียวกันนั้น สวิฟต์ล้างบัญชีสื่อสังคมของเธอทั้งหมด[174] และออกซิงเกิล "ลุกวอตยูเมดมีดู" เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่หก เรพิวเทชัน[175] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ[176][177] มิวสิกวิดีโอในยูทูบมีผู้ชมมากกว่า 43.2 ล้านครั้งในวันแรก ทำลายสถิติมิวสิกวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง[178] ในเดือนตุลาคม สวิฟต์ออกซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม "เรดีฟอร์อิต"[179] เพลงขึ้นอันดับที่สามในออสเตรเลีย และอันดับที่สี่ในสหรัฐ[180][177]

อัลบั้มเรพิวเทชันซิงเกิลประชาสัมพันธ์สองซิงเกิลได้แก่ "กอร์เจิส" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" โดยเพลง "กอร์เจิส" เป็นซิงเกิลที่ห้าในเวลาต่อมา แต่จำหน่ายเป็นซิงเกิลในยุโรป[181] อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และขายได้ 1.216 ล้านหน่วยภายในสี่วันในสหรัฐ กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประเทศในปี 2017 และขายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลกในสัปดาห์แรก[182] ด้วยความสำเร็จนี้ ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบั้มขายได้มากกว่าหนึ่งล้านอัลบั้มในสัปดาห์แรกในสหรัฐถึงสี่อัลบั้ม[183] อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย[184][185] หลังจากนั้น สวิฟต์แสดงเพลง "เรดีฟอร์อิต" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" ในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์[186] "เอนด์เกม" ร้องรับเชิญโดยเอ็ด ชีแรน และฟิวเชอร์ ตามมาเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นสูงสุดที่อันดับ 18 ในสหรัฐ[187] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้ม ได้แก่ "นิวเยียส์เดย์" และ "เดลิเคต" เพลง "นิวเยียส์เดย์" ถูกเปิดตามสถานีวิทยุเพลงคันทรี[188]

ในเดือนเมษายน 2018 มีการยืนยันว่าสวิฟต์จะร้องรับเชิญในเพลง "เบบ" ของชูการ์แลนด์ จากอัลบั้ม บิกเกอร์ [lower-alpha 1] สวิฟต์ทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2018 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มเรพิวเทชัน[190] ทัวร์ทำลายสถิติยอดผู้ชมและรายได้จากหลายสถานที่ในสหรัฐ ทำรายได้ได้ 266.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายบัตรได้มากกว่าสองล้านใบ สวิฟต์ทำลายสถิติของตนเองในฐานะผู้หญิงที่ทัวร์ในประเทศได้รายได้สูงที่สุด รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 345.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[191] เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่มีรายได้สูงที่สุดอันดับสองของปี[192] ในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 2018 สวิฟต์ได้รับรางวัลทัวร์แห่งปีจากทัวร์ล่าสุด ศิลปินแห่งปี ศิลปินป็อป/ร็อกหญิงชมเชย และอัลบั้มเพลงป็อป/ร็อกชมเชยจากอัลบั้มเรพิวเทชัน จากจำนวนรางวัล 23 รางวัล สวิฟต์จึงเป็นผู้ชนะรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด สถิติเดิมคือวิตนีย์ ฮิวสตัน[193]

เรพิวเทชันเป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ออกโดยสังกัดบิกแมชีนเรเคิดส์ เนื่องจากสัญญาอายุ 12 ปี หมดลง ในเดือนพฤศจิกายน 2018 เธอเซ็นสัญญากับค่ายยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุป ในสหรัฐ ผลงานลำดับถัดไปจะถูกส่งเสริมโดยประทับตราสังกัดรีพับลิกเรเคิดส์ สวิฟต์กล่าวว่าสัญญาของเธอจะรวมการเป็นเจ้าของต้นฉบับเสียง นอกจากนี้ เมื่อครั้งที่มีการแบ่งผลประโยชน์ให้กับสปอทิฟาย ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุปเห็นพ้องที่จะจ่ายรายได้ให้ศิลปินของตน และไม่รับรายได้นั้นคืนจากศิลปิน[194] ปลายเดือนพฤศจิกายน บิกแมชีนเรเคิดส์ออกรายการเพลงจากเทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ บนบริการสตรีม รายการเพลงบรรจุเพลงทุกเพลงที่แสดงบนเวทีบีในช่วงการทัวร์เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์[195] ในวันที่ 31 ธันวาคม ภาพยนตร์คอนเสิร์ตเรื่อง เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ออกฉายทางเน็ตฟลิกซ์[196]

2019-ปัจจุบัน: เลิฟเวอร์ และ โฟล์กลอร์

ภายใต้สังกัดรีพับลิกเรเคิดส์เป็นครั้งที่สอง "มี!" เป็นซิงเกิลแรกจากสตูดิโออัลบัมที่เจ็ดชื่อ เลิฟเวอร์ ร้องรับเชิญโดยเบรนดอน ยูรี จากวงแพนิกแอตเดอะดิสโก เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2019[197][198] เธอร่วมแต่งเพลงกับโจล ลิตเทิล และยูรี เพลงเปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ที่อันดับที่ 100 หลังออกมาได้สามวัน แต่กระโดดขึ้นอันดับที่สองในสัปดาห์ถัดมา กลายเป็นการกระโดดขึ้นอันดับในสัปดาห์เดียวที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาร์ต[199] มิวสิกวิดีโอเพลง "มี!" ทำลายวีโวโดยมีผู้ชมรวม 65.2 ล้านครั้งในวันแรก[200] แต่เพลงได้รับคำวิจารณ์แบบผสมกัน และสวิฟต์ลบเนื้อเพลงท่อนที่ "ถูกวิพากษ์วิจารณ์" ท่อนหนึ่งออกจากอัลบัม[201] ในเดือนมิถุนายน เธอออกซิงเกิลที่สอง "ยูนีดทูคาล์มดาวน์"[202] เพลงเปิดตัวที่อันดับสองบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[203] เป็นเพลงเปิดตัวสูงสุดลำดับที่ 15 มากที่สุดในบรรดาศิลปินหญิง[204] ในเดือนกรกฎาคม เธอออกซิงเกิลโปรโมตอัลบัม "ดิอาร์เชอร์"[205] เพลงชื่อเดียวกับอัลบัมออกเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนสิงหาคม เป็นเพลงที่ติดสิบอันดับสูงสุดบนชาร์ตฮอต 100 เพลงที่สามจากอัลบัม[206]

สวิฟต์ในงาน ไอฮาร์ตเรดิโอมิวสิกอะวอร์ด 2019

เลิฟเวอร์วางจำหน่ายในวันที่ 23 สิงหาคม ได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก[207] และเปิดตัวอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 867,000 หน่วย รวมถึงแผ่นอัลบัม 679,000 หน่วย ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มียอดขายหกอัลบัมแรกมากกว่า 500,000 หน่วยในสัปดาห์เดียว[208][209] อัลบัมทำยอดขายแผ่นได้มากกว่าอัลบัมอื่น ๆ 199 อัลบัมรวมกันในสัปดาห์นั้น[210] เพลงทั้งหมด 18 เพลงในอัลบัมเข้าชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ทำสถิติศิลปินหญิงที่มีเพลงเข้าชาร์ตพร้อมกันมากที่สุดในหนึ่งสัปดาห์[211] ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2019 มิวสิกวิดีโอเพลง "มี!" และ "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ได้เข้าชิงสิบรางวัลสิบสองรางวัล "มี!" ได้รางวัลเอฟเฟกต์ภาพยอดเยี่ยม และ "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ได้รางวัลวิดีโอแห่งปี ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สองและเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่วิดีโอที่ตนร่วมกำกับได้รางวัลดังกล่าว[212] และได้รางวัลวิดีโอฟอร์กูด สวิฟต์แสดงในการเปิดงานประกาศรางวัลดังกล่าว[213] อัลบัมเลิฟเวอร์ได้เข้าชิงสามรางวัลในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 62 รวมถึง อัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยม และเพลงแห่งปี สำหรับเพลง "เลิฟเวอร์"[214]

ในเดือนมิถุนายน สกูตเตอร์ บราวน์ ผู้จัดการดนตรีซื้อค่ายเพลงเดิมของสวิฟต์ รวมถึงต้นฉบับของอัลบัมเพลงของเธอหกอัลบัมแรก[215] สวิฟต์แสดงความไม่พอใจผ่านโพสต์บนทัมเบลอร์ กล่าวว่าเธอเคยพยายามซื้อต้นฉบับมาหลายปี และพูดถึงบราวน์ว่าเป็น "ผู้รังแกจอมบงการไม่หยุดหย่อน" ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ประกาศแผนการอัดเพลงจากอัลบัมที่ถูกซื้อซ้ำทั้งหมดในเดือนพฤศจิกายน 2020[216] ในเดือนพฤศจิกายน 2019 สวิฟต์กล่าวว่าบราวน์และสก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้ก่อตั้งสังกัดบิกแมชีนห้ามมิให้เธอแสดงเพลงเก่าในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2019 ซึ่งเธอได้รางวัลศิลปินแห่งทศวรรษจากงานนั้น รวมถึงห้ามนำงานเพลงเก่ามาใช่กับสารคดีเรื่อง มิสอเมริกานา ทางเน็ตฟลิกซ์[217] บิกแมชีนปฏิเสธการกล่าวหา และกล่าวหาสวิฟต์ว่าเธอติดหนี้ "มูลค่าหลักล้านดอลลาร์และสินทรัพย์มากมาย"[218][219] สวิฟต์โต้ตอบโดยตัวแทนของเธอออกจดหมายตอบกลับแสดงให้เห็นว่าผู้บริหารบิกแมชีนปฏิเสธที่จะให้สิทธิ์ในการทำสารคดี และกล่าวว่าบิกแมชีนเป็นหนี้เธอค่าลิขสิทธิ์มูลค่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[220] วันที่ 18 พฤศจิกายน บิกแมชีนออกประกาศว่า "สังกัดได้อนุญาตให้สตรีมการแสดงของศิลปินในสังกัด และออกอากาศซ้ำบนแพลตฟอร์มที่เห็นพ้องกัน" ในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ แต่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อของสวิฟต์[221]

ในเดือนพฤศจิกายน สวิฟต์และแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ แต่งเพลง "บิวตีฟูลโกสต์" ประกอบภาพยนตร์เรื่อง แคตส์ (2019)[222] ได้เข้าชิงเพลงประกอบยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 77[223] ในเดือนธันวาคม เธอแต่ง อัดเสียง และออก "คริสต์มาสทรีฟาร์ม" เป็นซิงเกิลเทศกาลคริสต์มาส[224] และรับบทเป็นบอมบาลูรินา ในภาพยนตร์เพลงดัดแปลงเรื่อง แคตส์ ของลอยด์ เว็บเบอร์[225] นักวิจารณ์ให้คำวิจารณ์ภาพยนตร์ในด้านลบ และกล่าวถึงบทบาทเล็ก ๆ ของสวิฟต์ เดวิด รูนีย์ จากเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์กล่าวว่า สวิฟต์ "เปล่งประกายในบทบาทความยาวหนึ่งเพลง โปรยตัวลงมาจากหน้าต่างที่แตก บนเวทีรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว โปรยดอกแคตนิป"[226] ในวันที่ 23 มกราคม มิสอเมริกานา ฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ฟิล์มเฟสติวัล 2020 และออกฉายในเน็ตฟลิกต์ในวันที่ 31 มกราคม ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวก[227][228] สารคดีมีเพลง "โอนลีเดอะยัง" ที่สวิฟต์แต่งไว้หลังช่วงเลือกตั้งในปี 2018[229]

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 สวิฟต์เซ็นสัญญากับยูนิเวอร์แซลมิวสิกพับบลิชชิงกรุป หลังจากสัญญาอายุ 16 ปีกับโซนี/เอทีวี หมดลง[230] ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เธอออกเพลง "เดอะแมน" แบบแสดงสด และมิวสิกวิดีโอ[231][232] คอนเสิร์ตทัวร์ เลิฟเวอร์เฟสต์ ถูกเลื่อนออกไปในปี ค.ศ. 2021 เนื่องจากโรคระบาดโควิด-19[233] ฟุตเทจจากคอนเสิร์ต ซิตีออฟเลิฟเวอร์ ที่แสดงในปารีสปี 2019 ออกอากาศทางช่องเอบีซี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 และมีให้ชมทางฮูลู และดิสนีย์+ในวันถัดมา สวิฟต์ยังออกอัลบัมเลิฟเวอร์ฉบับร้องสดที่เธอเคยแสดงที่ปารีสหลังออกอากาศทางโทรทัศน์ด้วย[234] เธอปรากฏในรายการสด เดียร์คลาสออฟ 2020 ทางยูทูบ ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2020[235] และอีเวนต์สโตนวอลล์เดย์ของไพรด์ไลฟ์ ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2020[236]

ในวันที่ 24 กรกฎาคม สวิฟต์ออกสตูดิโออัลบัมที่แปดในชื่อ โฟล์กลอร์ โดยที่ประกาศล่วงหน้าไม่ถึง 24 ชั่วโมง[237] เพลงในอัลบัมเขียนและบันทึกเสียงโดยสวิฟต์ขณะกักตัวช่วงโควิด-19 อัลบัมมีการร่วมงานกับโบน อีเวียร์ แอรอน เดสเนอร์ และแอนโทนอฟฟ์[238] "คาร์ดิแกน" ออกเป็นซิงเกิลนำ มิวสิกวิดีโอก็ออกมาพร้อมกับอัลบัม[239] โฟล์กลอร์ได้รับคำชมอย่างแพร่หลายจากนนักวิจารณ์ ซึ่งชื่นชมการเปลี่ยนไปสู่แนวดนตรีอินดีโฟล์ก การเล่าเรื่อง และเนื้อเพลง[240] อัลบัมขายได้สองล้านหน่วยทั่วโลกในสัปดาห์แรก ในจำนวนนั้น 1.3 ล้านหน่วย ขายได้ในวันแรกวันเดียว[241][242] สวิฟต์ยังทำลายสถิติศิลปินหญิงที่มีจำนวนการสตรีมในวันแรกมากที่สุดในสปอติฟาย ด้วยการสตรีมมากกว่า 80.6 ล้านครั้ง[243]

ใกล้เคียง

เทย์เลอร์ สวิฟต์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (อัลบั้ม) เทย์เลอร์ สวิฟต์: ดิเอราส์ทัวร์ เทย์เลอร์สวิฟต์โปรดักชัน เทย์เลอร์ แซนเดอร์ เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ เทย์เลอร์ ซาคาร์ เปเรซ เทย์เลอร์ ฮิลล์ เทย์เลอร์ มอมเซน เทย์เลอร์ สวิฟตส์เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์

แหล่งที่มา

WikiPedia: เทย์เลอร์_สวิฟต์ http://159.54.226.237/08_issues/080413/080413taylo... http://www.ariacharts.com.au/news/2017/taylor-swif... http://www.ariacharts.com.au/news/2017/taylor-swif... http://www.dailytelegraph.com.au/kylie-leads-mega-... http://www.fox.com.au/shows/fifi-and-jules/video/t... http://www.news.com.au/entertainment/music/music-v... http://www.news.com.au/entertainment/music/taylor-... http://www.qantasnewsroom.com.au/media-releases/qa... http://www.theaustralian.com.au/arts/swift-rise-of... http://abc7.com/archive/9462346/