เมนูนำทาง
เทห์วัตถุอายุน้อย การจัดประเภทโดยการกระจายพลังงานสเปกตรัมดาวฤกษ์ก่อตัวจากการรวมกันของวัสดุที่ตกลงสู่ดาวฤกษ์ก่อนเกิด จากจานรอบเทห์หรือสิ่งที่หุ้มมันอยู่ วัสดุในจานเย็นกว่าบริเวณพื้นผิวของดาวฤกษ์ก่อนเกิด ดังนั้นมันจึงแผ่รังสีคลื่นยาวที่ยาวกว่าแสงที่ถูกปล่อยมาจากการปล่อยพลังงานอินฟราเรดส่วนเกิน เมื่อวัสดุในจานหมดลงไปแล้ว อินฟราเรดส่วนเกินจะลดลง ดังนั้น เทห์วัตถุอายุน้อยมันจะถูกจัดประเภทให้เป็นขั้นวิวัฒนาการ ขึ้นกับความชันของการกระจายพลังงานสเปกตรัมของมันในย่านมิดอินฟราเรด โดยใช้แผนซึ่งถูกเสนอโดยลาดา (1987) เขาเสนอให้แบ่งการจัดประเภทเป็นสามหมวด (I, II และ III) ขึ้นกับค่าอันตรภาคของดัชนีสเปกตรัม ( α {\displaystyle \alpha \,} ):[1]
α = d log ( λ F λ ) d log ( λ ) {\displaystyle \alpha ={\frac {d\log(\lambda F_{\lambda })}{d\log(\lambda )}}}
โดย λ {\displaystyle \lambda \,} คือความยาวคลื่น และ F λ {\displaystyle F_{\lambda }} คือความหนาแน่นของฟลักซ์
α {\displaystyle \alpha \,} ถูกคำนวณในช่วงความยาวคลื่นระหว่าง 2.2–20 μ m {\displaystyle {\mu }m} (ย่านใกล้อินฟราเรดและมิดอินฟราเรด) อันเดรและคณะ (1993) เป็นผู้ค้นพบหมวด 0 ซึ่งเป็นชั้นที่วัตถุมีการปลดปล่อยซับมิลลิเมตรอย่างรุนแรง แต่เจือจางมากที่ λ < 10 μ m {\displaystyle {\lambda }<10{\mu }m} [2] ต่อมากรีนน์และคณะ (1994) ได้เพิ่มหมวดที่ 5 หรือแหล่ง "สเปกตรัมราบ" เข้ามา[3]
แผนการจัดประเภทนี้สะท้อนให้เห็นลำดับการวิวัฒนาการได้อย่างคร่าว ๆ เชื่อกันว่าสิ่งที่ฝังอยู่ลึกที่สุดในแหล่งหมวด 0 จะค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นหมวด I โดยการสลายตัวของสิ่งหุ้มรอบเทห์ จนในที่สุดแล้วพวกมันจะปรากฎให้มองเห็นได้บนเส้นเวลาเกิดดาวฤกษ์ และบนดาวฤกษ์ก่อนแถบลำดับหลัก
วัตถุในหมวด II มีจานรอบเทห์และสัมพันธ์กันอย่างคร่าว ๆ กับการจัดประเภทดาวฤกษ์ชนิด ที วัว ขณะที่หมวด III ดาวฤกษ์ได้สูญเสียจานของตัวเองไป และสัมพันธ์โดยประมาณกับดาวฤกษ์ชนิด ที วัวอย่างอ่อน โดยในขั้นกลางที่จานสามารถตรวจพบได้ที่ความยาวคลื่นช่วงยาว (เช่น ที่ 24 μ m {\displaystyle 24{\mu }m} ) วัตถุเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า วัตถุเปลี่ยนจาน (transition-disk objects)
เมนูนำทาง
เทห์วัตถุอายุน้อย การจัดประเภทโดยการกระจายพลังงานสเปกตรัมใกล้เคียง
เทห์วัตถุอายุน้อย เมห์วิช ฮายัต เทหวัตถุ เปห์ วิกเตอร์ เอ็ดมันแหล่งที่มา
WikiPedia: เทห์วัตถุอายุน้อย //doi.org/10.1086%2F172425 //doi.org/10.1086%2F174763 https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/1987IAUS..115...... https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/1993ApJ...406..1... https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/1994ApJ...434..6...