พัฒนาการ ของ เน่ย์เก๋อ

ต้นราชวงศ์หมิง การปกครองนั้นใช้ตามระบอบของราชวงศ์ยฺเหวียน (大元) ที่ตั้งสำนักอัครมหาเสนาบดีไว้ประสานระหว่างกระทรวงหลักทั้งหก สำนักดังกล่าวมีหัวหน้าสองคน เรียกว่า "อัครมหาเสนาบดีทั้งสอง" คนหนึ่งเรียก "ฝ่ายซ้าย" อีกคนหนึ่งเรียก "ฝ่ายขวา" ทำหน้าที่ผู้นำหน่วยงานราชการทั่วแผ่นดิน[4] แต่จักรพรรดิหงอู่ทรงเกรงว่า การที่อำนาจการปกครองกระจุกอยู่ ณ อัครมหาเสนาบดีทั้งสอง จะเป็นภัยร้ายแรงต่อราชบัลลังก์ ฉะนั้น ใน ค.ศ. 1380 จึงรับสั่งให้ประหารอัครมหาเสนาบดีหู เหวย์ยง (胡惟庸) ด้วยข้อหากบฏ แล้วทรงยุบสำนักกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี โดยให้เจ้ากระทรวงทั้งหกขึ้นตรงต่อพระองค์[5]

แต่เพราะทรงต้องอาศัยความช่วยเหลือในทางธุรการ ใน ค.ศ. 1382 จักรพรรดิหงอู่จึงทรงเลือกราชบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลิน (翰林院; สำนักป่าพู่กัน) มาเป็นต้าเซฺว่ชื่อ เพื่อถวายความช่วยเหลือในงานด้านเอกสาร[2] โดยทรงส่งเขาเหล่านั้นไปประจำหน้าที่ยังสำนักงานต่าง ๆ ภายในวัง สำนักงานดังกล่าวจึงเรียกรวมกันว่า "เน่ย์เก๋อ" (ศาลาใน) ชื่อนี้ปรากฏการใช้งานตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ (永樂帝)[6]

นับแต่รัชกาลจักรพรรดิเซฺวียนเต๋อ (宣德帝) เป็นต้นมา เน่ย์เก๋อเริ่มมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้น ในช่วงนี้ ฎีกาทั้งหลายที่ถวายต่อพระมหากษัตริย์จะต้องผ่านเน่ย์เก๋อก่อน เมื่อได้ฎีกาแล้ว เน่ย์เก๋อจะกลั่นกรอง แล้วลงมติตามสมควร ก่อนจะร่างหมายรับสั่งติดหน้าปกฎีกา แล้วถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงวินิจฉัยเป็นขั้นตอนสุดท้าย กระบวนการนี้เรียกว่า "ร่างหมาย" (票擬) ซึ่งทำให้เน่ย์เก๋อกลายเป็นสถาบันชั้นสูงสุดในการจัดทำนโยบายเหนือกระทรวงทั้งหกไปโดยปริยาย ทั้งส่งผลให้สมาชิกอาวุโสของเน่ย์เก๋อที่เรียก "โฉวฝู่" นั้นมีอำนาจเสมอเหมือนอัครมหาเสนาบดีแต่เก่าก่อน[7]