การใช้ประโยชน์ทางคลินิก ของ เบซาไฟเบรต

เบซาไฟเบรตมีผลทำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงร่วมกันหลายชนิด (combined hyperlipidemia) มีการพัฒนาการของโรคที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเป็นผลมาจากการลดระดับไลโปโปรตีนคอเลสเตอลรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDL cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) และเพิ่มระดับไขมันดีที่มีชื่อว่าไลโปโปรตีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDL cholesterol) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ[1] นอกจากนี้เบซาไฟเบรตยังมีผลลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยกลุ่มอาการอ้วนลงพุง (metabolic syndrome) อีกด้วย[2] การศึกษาหลายการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การใช้เบซาไฟเบรตในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการทนต่อระดับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือด (impaired glucose tolerance) จะช่วยชะลอการพัฒนาของโรคไปเป็นโรคเบาหวานให้ช้าลงได้[3] และในผู้ป่วยที่มีภาวะดื้อต่อินซูลิน (insulin resistance) พบว่าการใช้เบาไฟเบรตในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าวจะช่วยชะลอการดำเนินไปของโรคได้ โดยวัดจากเกณฑ์ความรุนแรง HOMA (HOMA severity)[4] ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาเชิงสังเกตแบบติดตามไปข้างหน้า (prospective observational study) ที่ทำการศึกษาในผู้ป่วยไขมันในกระแสเลือดสูงและมีภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดสูงร่วมด้วย พบว่าเบซาไฟเบรตมีผลลดระดับความเข้มข้นของโปรตีนฮีโมโกลบินเอวันซี (haemoglobin A1c; HbA1c) ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับค่า HbA1c พื้นฐานก่อนได้รับการรักษาของผู้ป่วย[5]