ช่วงเวลาของเบเกอรี่มิวสิค ของ เบเกอรี่มิวสิค

ช่วงก่อตั้งค่ายเพลง Bakery Music (พ.ศ. 2535-2540)

หลังจากสาเร็จการศึกษาในด้าน Music Business จาก University of California at Los Angeles (UCLA) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยบอย โกสิยพงษ์ ได้เดินทางกลับประเทศไทยและได้ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คนคือ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์, สาลิณี ปันยารชุน และ กมล สุโกศล แคลปป์ ตั้งบริษัทขึ้นในปี พ.ศ. 2535 รับทำเพลงทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงโฆษณา จนกระทั่งบอย โกสิยพงษ์และเพื่อนมีโอกาสทำเพลงให้กับวงดนตรีของนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีชื่อวงว่า “โมเดิร์นด็อก” เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทำเพลง บอย โกสิยพงษ์และเพื่อน รวมทั้งวง โมเดิร์นด็อกมีความเห็นตรงกันว่าจะไม่ขายงานผ่านค่ายเพลงแต่จะดำเนินการทางด้านการตลาดเองและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของบริษัทเบเกอรี่มิวสิค


ช่วงมรสุมทางเศษฐกิจ (พ.ศ. 2541-2542)

ความมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของเบเกอรี่มิวสิคนอกจากจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการเพลงดังที่กล่าวไปแล้วยังส่งผลให้ระบบการทำงานของเบเกอรี่มิวสิคต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

ความขัดแย้งระหว่างการให้น้าหนักระหว่าง “ศิลปะ” และ “ธุรกิจ” ทำให้สาลินี ปันยารชุน หนึ่งในผู้ก่อตั้งเบเกอรี่มิวสิคลาออกและถอนหุ้น ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนั้นจนรัฐบาลต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทใน ปี พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ค่ายเพลงจำนวนมากปิดตัวไป ด้วยแนวคิดของเบเกอรี่มิวสิคที่ให้ความสำคัญของศิลปะมากกว่าธุรกิจมาตั้งแต่ต้น จึงทำให้ไม่สามารถต้านทานกระแสเศรษฐกิจตกตํ่าได้ ท้ายที่สุดเบเกอรี่มิวสิคมีบัญชีติดลบถึง 60 ล้านบาท

ช่วงร่วมทุนกับบริษัท BMG (พ.ศ. 2543-2547)

วิธีการแก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของเบเกอรี่มิวสิค คือการหาบริษัทใหญ่มาร่วมทุนนั่นก็คือบริษัท BMG ซึ่งเป็นค่ายเพลงระดับโลกในปี พ.ศ. 2543 บริษัท BMG เป็นบริษัทสาขาของ กลุ่ม Bertsmann ซี่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโรงพิมพ์ในประเทศเยอรมันมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาพัฒนาเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีแนวทางการทาธุรกิจโดยการร่วมทุนกับบริษัทต่างๆ บริษัท BMG หรือในชื่อเต็มว่า Bertelsmann Music Group เป็นบริษัทสาขาของ Bertsmann ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องดนตรีโดยเฉพาะ สำนักงานใหญ่ของ BMG อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาและมีสำนักงานย่อยใน 25 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย เบเกอรี่มิวสิคจึงจำเป็นต้องปรับวิธีการทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น รวมไปถึงการลดขนาดองค์กรเพื่อประคับประคองบริษัทให้อยู่รอด

ช่วงค่ายเพลงเลิฟอีส (พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน)

หลังจากบอย โกสิยพงษ์และเพื่อนอีกสองคนที่เป็นคณะผู้บริหารและผู้ก่อตั้งเบเกอรี่ลาออกสมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ เปลี่ยนไปทางานเพลงให้กับศิลปินในวงการ ส่วนกมล สุโกศล แคลปป์เปลี่ยนไปผลิตงานด้านโทรทัศน์ มีเพียงบอย โกสิยพงษ์ที่ยังคงมุ่งมั่นทำค่ายเพลงอีกครั้ง โดยค่ายเพลงใหม่ของบอย โกสิยพงษ์มีชื่อว่า เลิฟอีส เป็นค่ายเพลงขนาดเล็กเหมือนค่ายเบเกอรี่ ในยุคเริ่มแรก แต่มีระบบการจัดการในรูปแบบสหกรณ์ซึ่งบอย โกสิยพงษ์ได้แนวคิดนี้มาจากคริสต์ศาสนาที่เขาศรัทธา[1]